สอดคล้องกับบริการที่ผู้ลงทุนได้รับและไม่สร้างภาระเกินความจำเป็น
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณและเปิดเผยค่าธรรมเนียมกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ประกอบการตัดสินใจลงทุน และได้รับการบริการที่เหมาะสมกับค่าธรรมเนียมที่จ่าย (fee for reasons) อีกทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีความยืดหยุ่นในการกำหนดค่าธรรมเนียมตามรูปแบบการให้บริการเพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
ก.ล.ต. สนับสนุนการใช้กองทุนรวมเป็นเครื่องมือในการลงทุนของผู้ลงทุน ซึ่งในระยะยาว มีแนวคิดปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณและเปิดเผยค่าธรรมเนียมกองทุนรวม เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้ลงทุน เสริมสร้างความรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจในการกำหนดค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมกับบริการที่ผู้ลงทุนได้รับ โดยมีการเปิดเผยอย่างโปร่งใส เป็นธรรม สอดคล้องกับแนวปฏิบัติตามมาตรฐานสากล รวมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถกำหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมกับลักษณะการให้บริการ ก.ล.ต. จึงได้ปรับปรุงหลักการใหม่ โดยนำผลการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2568 มาปรับปรุงหลักการให้เหมาะสมกับบริบทตลาดทุนไทย และหลักการสากลด้านการคุ้มครองเพื่อไม่ให้เกิดต้นทุนเกินจำเป็น (undue costs protection)
ก.ล.ต. จึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- กำหนดหลักการคิดค่าธรรมเนียมต้องมีความเหมาะสมกับบริการที่ผู้ลงทุนได้รับ ชัดเจน เป็นธรรม โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องมีกลไกกำกับดูแลและทบทวนโครงสร้างค่าธรรมเนียมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พร้อมกำหนดให้ผู้ดูแลผลประโยชน์มีบทบาททบทวนความเหมาะสม ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ส่งเสริมให้สมาคมธุรกิจจัดการลงทุน (AIMC) ออกแนวปฏิบัติตามหลักการดังกล่าว โดยผ่านการพิจารณาของ ก.ล.ต. เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามหลักการได้อย่างเหมาะสม
- กำหนดให้การคิดค่าธรรมเนียมเป็นไปตามผลการดำเนินงาน (performance fee) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ลงทุน ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อมีการกำหนดค่าธรรมเนียมดังกล่าวไว้ล่วงหน้า แยกจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม (management fee) โดยจำกัดประเภทกองทุนที่จะเรียกเก็บได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณ เพื่อให้มั่นใจว่า การคิด performance fee จะสะท้อนความสามารถในการจัดการลงทุนของ บลจ. ไม่ใช่ผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากภาวะตลาดโดยรวม ทั้งยังเพิ่มความชัดเจนในการเปิดเผย performance fee ด้วยการกำหนดให้ต้องมีรายงานการเรียกเก็บในรายงานของกองทุนรวม
- ปรับปรุงหลักการกำหนดและเปิดเผยค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนรวม (management fee) เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย โดยคงแนวทางให้ บลจ. สามารถกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสูงสุด (maximum management fee) ได้เหมือนเดิม แต่ต้องมีความเหมาะสมกับอัตราค่าธรรมเนียมพื้นฐาน (base management fee) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นของ บลจ. และการคุ้มครองผู้ลงทุน ทั้งนี้ การปรับเพิ่ม actual management fee จะต้องมีเหตุผลความจำเป็น เปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน โปร่งใส และแจ้งผู้ลงทุนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันทำการ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลครบถ้วนและเข้าใจผลกระทบของค่าธรรมเนียมต่อการตัดสินใจลงทุน ส่วนการลดค่าธรรมเนียมเพื่อการส่งเสริมการขาย ต้องกำหนดระยะเวลาอย่างชัดเจนและไม่เกิน 1 ปี
- กำหนดให้ บลจ. ที่มีการจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะค่าตอบแทนแก่ตัวแทนซื้อหรือขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม (trailer fee) ให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ขายหน่วยลงทุน ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังและความรับผิดชอบ (fiduciary duties) ให้เหมาะสมกับบริการที่ผู้ลงทุนได้รับ (fee for reasons) โดยไม่ก่อให้เกิดต้นทุนเกินจำเป็น และไม่สร้างแรงจูงใจให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของตลาดทุนไทย ก.ล.ต. กำหนดให้ บลจ. ต้องเปิดเผยการจ่าย trailer fee ให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ขายหน่วยลงทุน ซึ่งต้องระบุอย่างชัดเจนว่ามีการจ่ายหรือไม่ ในหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม พร้อมอธิบายวัตถุประสงค์ ผลกระทบต่อผู้ลงทุน และบริการที่เกี่ยวข้อง
- ปรับปรุงมาตรฐานการขายหน่วยลงทุน (sales conduct) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ขายหน่วยลงทุนต้องจัดทำเอกสารประกอบการขายที่ถูกต้องครบถ้วน เปิดเผยค่าธรรมเนียม เงื่อนไข คำเตือน COI และรายละเอียดการได้รับ trailer fee ให้ชัดเจน จัดให้มีมาตรการป้องกัน COI จากโครงสร้างค่าตอบแทน และต้องให้บริการดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับค่าธรรมเนียมที่ได้รับ