ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E) คืออะไร?..

ข่าวทั่วไป Thursday November 27, 2025 11:11 —ThaiPR.net

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E) คืออะไร?..

ไวรัสตับอักเสบ มีหลายชนิด ได้แก่ A B C D และ Eสามารถแบ่งตามวิธีการติดต่อ ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • ติดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด A และ E
  • ติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด B, C และ D และนอกจากนี้ ไวรัสตับอักเสบ B สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย
  • อาการเป็นอย่างไร?.. ควรสงสัยเมื่อไหร่ว่าอาจเป็นไวรัสตับอักเสบอี

    ตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสตับอักเสบ มักมีอาการไม่จำเพาะ จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรค จากภาวะอื่นๆ ด้วย ในกรณี "คุณต้าเหนิง" ซึ่งมีไข้ ร่วมกับปวดท้องรุนแรง และมีค่าเอนไซม์ตับสูง จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรค จากโรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือ นิ่วในท่อน้ำดี ซึ่งนอกจากการตรวจเลือดแล้ว ต้องมีการตรวจด้วยภาพรังสี เช่น การทำอัลตราซาวนด์ หรือหากอัลตราซาวนด์ไม่พบ แต่ยังสงสัยอาจพิจารณาตรวจเอกซเรย์ที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น CT หรือ MRI นอกจากนั้น อาจต้องวินิจฉัยแยกโรค จากภาวะติดเชื้ออื่นๆ ที่ ไม่ใช่ไวรัสตับอักเสบโดยตรง ที่อาจทำให้มีไข้และมีเอนไซม์ตับขึ้นสูง

    อาการของไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันที่พบบ่อย เช่น

  • มีไข้ อาจเป็นไข้ต่ำๆ จนถึงไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว
  • อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
  • อาจมีอาการปวดบริเวณตับ คือที่บริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่
  • ปัสสาวะมีสีเข้มผิดปกติหรืออุจจาระอาจมีสีซีด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • การป้องกันไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ทำอย่างไร?

    1) ป้องกันไม่ให้ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันชนิดเอและอี ติดต่อทางการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อดังนั้นแนวทางป้องกันที่สำคัญคือ

    • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่
    • กินอาหารที่ "สุกทั่วถึง" โดยเฉพาะเนื้อหมู เครื่องใน
    • หลีกเลี่ยง น้ำดื่ม น้ำแข็ง หรือ อาหาร ที่ไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด
    • ล้างมือก่อนรับประทานทุกครั้ง

    2) ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน

    ไวรัสตับอักเสบชนิดเอและบี มีวัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งติดจากการรับประทานอาหารและหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน

    การรักษาการรักษาไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันโดยส่วนใหญ่ ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง เนื่องจากไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การรักษาตามอาการเป็นหลัก และมีความจำเป็นต้องติดตามการทำงานของตับอย่างใกล้ชิด

    แม้ผู้ป่วยส่วนมากจะหายเองได้ แต่ในส่วนน้อยอาจเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะอันตราย และอาจต้องทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ ช่วงที่มีตับอักเสบ แนะนำให้พักผ่อน งดการออกกำลังกาย และดื่มน้ำให้เพียงพอ

    พญ.สรรพจน์ โคมทอง อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลรามคำแหง

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมRAM Care Connect 1512 ต่อ 2999Line Official : @ramhospital


    แท็ก ตับอักเสบ  

    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ