มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เดินหน้าขับเคลื่อน "ความหลากหลายทางชีวภาพ" เปิดพื้นที่ดอยตุงและป่าชุมชน เป็นฐานข้อมูลสู่งานวิจัยระดับชาติและระดับโลก สู้วิกฤต Climate Change

ข่าวทั่วไป Thursday December 25, 2025 17:30 —ThaiPR.net

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เดินหน้าขับเคลื่อน

ในวันที่โลกเผชิญความรุนแรงขั้นวิกฤตของภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) จนระบบนิเวศเสี่ยงฟื้นตัวไม่ทัน วิกฤตนี้ย้ำว่า "การดูแลป่าเพียงอย่างเดียวไม่พอ" โลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับ "ความหลากหลายทางชีวภาพ" (Biodiversity) ในฐานะรากฐานของน้ำ อาหาร และสุขภาวะของผู้คน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เริ่มศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพไม่ได้เกิดจากตำรา แต่เกิดจากประสบการณ์จริงเกือบสี่ทศวรรษในพื้นที่ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย จากดอยหัวโล้นเสื่อมโทรม มูลนิธิฯ ทำงานร่วมกับชุมชนตามแนวคิด "ปลูกป่า ปลูกคน" ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จนพื้นที่ป่าฟื้นตัวกว่าร้อยละ 90 และสิ่งที่เติบโตเคียงคู่กับผืนป่าคือ "ชีวิต" ที่กลับคืนมา ตั้งแต่สัตว์หายากไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่อาจยังไม่เคยมีการบันทึกมาก่อน และสานต่อการค้นคว้าวิจัยเพื่อปรับพื้นที่ป่าให้มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ และถูกต้องมาอย่างต่อเนื่อง โครงการพัฒนาดอยตุงฯ จึงไม่ได้เป็นเพียงต้นแบบการพัฒนาชุมชนเท่านั้น หากยังเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าเชิงนิเวศในระดับประเทศและภูมิภาค จนในวันนี้ ที่มูลนิธิ ขยายพื้นที่การเก็บข้อมูลไปยังพื้นที่ในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในป่าชุมชนทั่วประเทศ ทั้งแบบป่าบก และป่าชายเลน

ในปี 2568 ที่ผ่านมา จึงเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนบทใหม่ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในบทบาทองค์กรที่ทำงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ

เริ่มจากการเข้าร่วมเป็นภาคปฏิบัติของแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (National Biodiversity Strategy and Action Plan - NBSAP 2566-2570) ร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ เพื่อบูรณาการบทเรียนจากพื้นที่จริงเข้าสู่การวางนโยบาย ทั้งในด้านการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ การบริหารฐานข้อมูล การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน รวมถึงการต่อยอดสู่พื้นที่อนุรักษ์อื่นและโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในป่าชุมชนทั่วประเทศ

อีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญในปีเดียวกันคือการทำงานร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เพื่อสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนในจังหวัดตรัง พื้นที่ที่ทางมูลนิธิฯ ร่วมดูแลอยู่กับชุมชนในพื้นที่ และภาคเอกชนซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีบทบาทสำคัญต่อยุทธศาสตร์คาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue Carbon) ของโลก การสร้างฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานระดับประเทศจึงเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนบทบาทของมูลนิธิฯ ในฐานะผู้ทำงานภาคสนามที่เชื่อมโยงนักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และชุมชนเข้าด้วยกัน

และล่าสุดคือความร่วมมือระดับนานาชาติ ระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore - NUS) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันชั้นนำของโลกด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเขตร้อน ความสนใจของ NUS ที่เลือก โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เป็นพื้นที่ศึกษาวิจัยไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เพราะพื้นที่แห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอย่างการฟื้นฟูป่าที่โดดเด่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศที่เกิดจากการทำงานร่วมกับชุมชนตลอด 36 ปี คือเหตุผลที่ทำให้ NUS นำเทคโนโลยีวิจัยล้ำสมัยเข้ามาสำรวจอย่างเต็มรูปแบบ

ความร่วมมือนี้นำไปสู่การสำรวจภายใต้ชื่อโปรแกรม "ไบโอบลิทซ์" (BioBlitz) ครั้งแรกในพื้นที่ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2568 โดยใช้เทคโนโลยีบันทึกเสียงชีวภาพตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง (Bioacoustics) ผสานกับการวิเคราะห์ด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่สามารถจำแนกเสียงนกและค้างคาวได้มากกว่า 30 ชนิด รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอสิ่งแวดล้อม (Environmental DNA - eDNA) เพื่อตรวจหาร่องรอยพันธุกรรมของสัตว์หายากที่ไม่ปรากฏให้เห็นด้วยตา ข้อมูลทั้งหมดสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ฟื้นฟู และเป็นหลักฐานสำคัญของการอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งหาได้ไม่มากในภูมิภาคนี้

โดยการสำรวจในครั้งนี้ได้เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง "คนกับป่า" สามารถหล่อเลี้ยงระบบนิเวศให้อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร ผลการสำรวจไม่เพียงบันทึกความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าการดูแลรักษาป่าของชุมชนมีส่วนสำคัญโดยตรงต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ทีมนักวิจัยค้นพบปูน้ำจืดหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งบางชนิดอาจยังไม่เคยถูกบันทึกทางวิทยาศาสตร์มาก่อน โดยแต่ละชนิดพบในลำธารที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าทุกลำน้ำต่างมีระบบนิเวศเฉพาะของตนเอง นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยของนาก ซึ่งเป็นสัญญาณของแหล่งน้ำสะอาดและอุดมสมบูรณ์ รวมถึงนกนานาชนิดที่บินอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างไม่หวาดกลัว สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันยาวนานและความไว้วางใจระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นใจคือการพบลูกนก "ชะมดแสมขาว" (White-rumped Shama) ซึ่งเป็นนกเสียงไพเราะที่ใกล้สูญพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การพบลูกนกแสดงให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ยังคงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ปลอดภัยและอุดมสมบูรณ์

ขณะเดียวกันบทบาทของชุมชนท้องถิ่นถือว่าสำคัญกับการสำรวจในครั้งนี้ ด้วยความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพื้นที่และพฤติกรรมของสัตว์ป่าจึงช่วยให้นักวิจัยเข้าใจระบบนิเวศได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจำแนกพันธุ์สัตว์น้ำและการติดตามร่องรอยต่างๆ อีกทั้งชาวบ้านยังได้ถ่ายทอดเทคนิคการจับปลาและปูแบบดั้งเดิมที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างผู้คนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของ "ดอยตุง" อย่างแท้จริง

แม้ผลการสำรวจครั้งแรกจะสะท้อนภาพความอุดมสมบูรณ์อย่างชัดเจน แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาว มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) จะเดินหน้าต่อยอดเพื่อผลักดันบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกด้านการศึกษาระบบนิเวศภูเขาเขตร้อน

ปี 2568 จึงเป็นปีที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ก้าวข้ามจากบทบาทผู้ฟื้นฟูพื้นที่ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ มาสู่การเป็น "ผู้ร่วมขับเคลื่อนด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ" บทบาทที่ตั้งอยู่บนความเชื่อว่าการอนุรักษ์จะเกิดผลได้ก็ต่อเมื่อเกิดความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และการทำงานร่วมกับชุมชนคนด่านหน้าเพราะความหลากหลายทางชีวภาพคือทุนทางธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ทุกวัน และการดูแลทุนนี้คือหน้าที่ร่วมกันของทุกคน เพื่อกำหนดอนาคตของโลกที่เราจะส่งต่อให้คนรุ่นหลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ