
นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในการยกระดับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านกลยุทธ์สินเชื่อเฉพาะทางและนวัตกรรมดิจิทัล
ท่ามกลางความพยายามของประเทศไทยในการเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารไทยเครดิตได้ก้าวขึ้นเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนอกระบบ ในบทสัมภาษณ์นี้ นายรอยย์ฉายภาพกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นการโฟกัสที่ "ไมโครเอสเอ็มอี" การให้บริการที่เน้นความสัมพันธ์ และการปรับตัวสู่ดิจิทัล เพื่อเปิดประตูโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยนับล้านราย

ประวัติและพัฒนาการของ CREDIT มีความเป็นมาอย่างไร?
ธนาคารไทยเครดิตมีรากฐานจากธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ในทศวรรษ 2513 ก่อนยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์และเริ่มดำเนินงานในปี 2550 จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2555 เมื่อทีมบริหารชุดปัจจุบันได้ปรับโครงสร้างและทิศทางองค์กรใหม่ (Restructure) โดยเบนเข็มจากการแข่งขันในตลาดสินเชื่อทั่วไปที่ดุเดือด มามุ่งเน้นกลุ่ม "ไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME)" ที่เป็นช่องว่างทางการตลาดขนาดใหญ่ และขยายสู่ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ในปี 2558
"เราเลือก Micro-SME เป็นเป้าหมายหลัก เพราะเวลานั้นธุรกิจนอกระบบจำนวนมากเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบเนื่องจากขาดข้อมูลทางการเงิน เราจึงปรับพอร์ตสินเชื่อจากรถและบ้านมาสู่กลุ่มนี้ ส่งผลให้พอร์ตเติบโตจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 180,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ด้วยอัตราโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี และทำกำไรได้รวดเร็วหลังปรับโมเดล"
คำว่าเอสเอ็มอี (SMEs) และไมโครเอสเอ็มอี (Micro-SME) เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ธนาคารไทยเครดิตให้คำนิยามคำเหล่านี้อย่างไร?
นายรอยย์ กล่าวว่า "ลูกค้าหลักของเราคือผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้าขนาดเล็ก ผู้ค้ารายย่อย และธุรกิจครอบครัว โดยส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีหลักประกันเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย และอาจไม่เข้าเกณฑ์สำหรับการขอสินเชื่อรายย่อยหรือบัตรเครดิต"
"เราให้บริการสินเชื่อวงเงิน 100,000-200,000 บาท แก่ลูกค้ากลุ่มนี้ราว 250,000 ราย คิดเป็นยอดสินเชื่อประมาณ 20,000 ล้านบาท ในขณะที่วงเงินสินเชื่อส่วนใหญ่ของพอร์ต (ราว 150,000 ล้านบาท) มาจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความเสี่ยงต่างกัน"
ปัจจัยใดทำให้ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) มีความโดดเด่นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง?
"จุดเด่นของเราคือการโฟกัสที่ Micro-SME อย่างลึกซึ้ง" นายรอยย์กล่าว เรามองลูกค้ากลุ่มนี้เป็น "ผู้ประกอบการ" ไม่ใช่ลูกค้ารายย่อย จึงออกแบบกระบวนการพิจารณาสินเชื่อเฉพาะทาง และโมเดลการทำงานที่แตกต่างจากธนาคารใหญ่
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราสร้างแพลตฟอร์ม Micro-SME ที่แข็งแกร่ง ผ่านสาขาสินเชื่อต้นทุนต่ำ และการฝึกอบรมพนักงานให้เชี่ยวชาญด้านการพิจารณาสินเชื่อและการบริหารความสัมพันธ์ (Relationship Banking) ภายใต้วัฒนธรรม "Everyone Matters" โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เน้นความคล่องตัวและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ปัจจุบันธนาคารมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจด้านใด และพัฒนาการของโมเดลธุรกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
นายรอยย์ย้ำว่า "ไมโครแบงกิ้ง" ยังคงเป็นหัวใจหลัก เพราะตลาดเศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่มากและธนาคารใหญ่ยังเข้าไม่ถึง ไทยเครดิตจึงตั้งเป้าเป็น "ผู้นำตลาด Micro-SME" ควบคู่กับการมุ่งสู่ "ธนาคารดิจิทัล"
"ภาคธนาคารไทยยังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลไม่สมบูรณ์ เราจึงลงทุนด้านเทคโนโลยีและเปิดตัว Mobile Banking เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในเฟสถัดไป โดยปัจจุบันลูกค้ากว่าครึ่งเริ่มเปลี่ยนมาทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันแล้ว"
ปรัชญา "ทุกคนมีความสำคัญ (Everyone Matters)" ส่งผลต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานอย่างไร?
ปรัชญานี้คือ DNA ขององค์กรที่มองลูกค้าฐานรากเป็น "คู่ค้า" ที่ต้องดูแลด้วยความจริงใจและความเกรงใจตามวิถีไทย เน้นการปล่อยสินเชื่อบนพื้นฐานความสัมพันธ์
นอกจากนี้ยังสะท้อนผ่านโครงการ "ตังค์โต Know-how" ที่ธนาคารจัดทีมงานและอาสาสมัครพนักงานลงพื้นที่ให้ความรู้ทางการเงินแก่ชุมชนกว่า 60,000 คนต่อปี อีกทั้งมีการร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชน (OTOP) สอนทักษะการออมและจัดการหนี้ โดยมีกฎเหล็กคือ "ห้ามขายของ" ในกิจกรรม เพื่อสร้างความเชื่อใจและความผูกพันที่ยั่งยืนกับชุมชน
โอกาสที่สำคัญที่สุดที่ธนาคารมองเห็นในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าคืออะไร?
ธนาคารมองเห็นโอกาส 3 ประการ: 1. ขยายฐานลูกค้า Micro-SME ให้ลึกขึ้น 2. ยกระดับประสิทธิภาพผ่าน Digital Transformation และ 3. ขยายสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
นายรอยย์ชี้ว่าส่วนแบ่งตลาดของธนาคารในกลุ่ม Micro-SME ปัจจุบันมีเพียง 2% จึงยังมีพื้นที่เติบโตอีกมาก โดยธนาคารเตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่เพื่อรองรับโอกาสนี้
ผลงานทางการเงินที่โดดเด่นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา?
"โมเดลธุรกิจ Micro-SME ของเราสร้างการเติบโตและกำไรที่มั่นคง" นายรอยย์กล่าว พอร์ตสินเชื่อขยายตัวจาก 20,000 ล้านบาท สู่ 180,000 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุด ด้านความมั่นคง ธนาคารมีเงินฝากรวมกว่า 130,000 ล้านบาท และสามารถสร้างผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ได้ในระดับสูงถึง 15-20% อย่างต่อเนื่อง
ธนาคารมีกระบวนการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่ออย่างไร ภายใต้การขยายตัวที่รวดเร็ว? "ธุรกิจเราคือ High Risk, High Return การบริหารความเสี่ยงจึงสำคัญที่สุด" ธนาคารใช้วิธี "ลงพื้นที่จริง" โดยทำแผนที่ตลาดสดทั่วประเทศกว่า 200 แห่ง และเข้าถึงแล้วกว่า 90% การมีสาขาสินเชื่อต้นทุนต่ำกระจายอยู่ทำให้ติดตามหนี้ได้ใกล้ชิด ผนวกกับการฝึกอบรมพนักงานที่เข้มข้น ทำให้รักษาระดับหนี้เสีย (NPL) ให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำได้แม้เศรษฐกิจชะลอตัว
ในมุมมองของคุณ ธนาคารจะพัฒนาตนเองไปสู่สถานะเช่นใดภายในปี พ.ศ. 2573?
"กลยุทธ์สำคัญที่สุดคือ การเติบโต" นายรอยย์ประกาศเป้าหมายที่จะพาไทยเครดิตขึ้นเป็น 1 ใน 10 ธนาคารชั้นนำของประเทศภายใน 5 ปีข้างหน้า และมุ่งสู่การเป็นสถาบันการเงินหลักที่ได้รับการยอมรับภายในปี 2578 โดยพร้อมรุกธุรกิจใหม่บนโลกดิจิทัลและขับเคลื่อนองค์กรด้วยความคล่องตัว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน