เอชเอสบีซีเผยมุมมองต่อระเบียงการค้าอาเซียน - จีน ระบุมีการเติบโตทั้งด้านการค้าและเม็ดเงิน FDI จากจีนเข้ามายังอาเซียน

ข่าวทั่วไป Monday December 29, 2025 17:24 —ThaiPR.net

เอชเอสบีซีเผยมุมมองต่อระเบียงการค้าอาเซียน - จีน ระบุมีการเติบโตทั้งด้านการค้าและเม็ดเงิน FDI จากจีนเข้ามายังอาเซียน

โดย นางยุน หลิว นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคอาเซียน ฝ่ายวิจัยการลงทุนระดับโลก ธนาคารเอชเอสบีซี

  • การค้าระหว่างอาเซียนกับจีนขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยปี 2567 มูลค่าการค้าทวิภาคีทะลุ 984,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (7 ล้านล้านบาท) ทำให้อาเซียนครองตำแหน่งคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนเป็นปีที่ห้าติดต่อกัน
  • แม้บรรยากาศการค้าโลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงไหลเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 14.5% ของ FDI ทั่วโลก
  • โดยเฉพาะการลงทุนจากจีนกำลังผลักดันให้ FDI ในเวียดนาม มาเลเซีย และไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568
เอชเอสบีซีเผยมุมมองต่อระเบียงการค้าอาเซียน - จีน ระบุมีการเติบโตทั้งด้านการค้าและเม็ดเงิน FDI จากจีนเข้ามายังอาเซียน

การค้าขยายตัวแข็งแกร่ง

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 อาเซียนก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนแซงหน้าสหภาพยุโรป โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการค้าทวิภาคีในปี พ.ศ. 2568 มีแนวโน้มทำสถิติใหม่สูงกว่าปี พ.ศ. 2567 ที่อยู่ที่ 984,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 30.7 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ แม้อาเซียนจะขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) ซึ่งคิดเป็น 30% ทั้งของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งส่งผลบวกอย่างชัดเจนต่อเศรษฐกิจที่มีฐานเทคโนโลยีแข็งแกร่งอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม

ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็มีการเกินดุลการค้ากับจีนในสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยการส่งออกไปยังจีนของอินโดนีเซียยังคงเป็นสินค้าในภาคสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ขณะที่ไทยและฟิลิปปินส์มีจุดแข็งในภาคเกษตรมาแต่เดิม และเวียดนามก็กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็วภายหลังลงนามข้อตกลงหลายฉบับกับจีน

แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดกลับมาจาก "ทุเรียน" ที่ผลไม้ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรดั้งเดิม หลังตลาดทุเรียนในประเทศจีน กลายเป็นตลาดมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้ผู้ส่งออกไทยจะครองตลาดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 แต่การแข่งขันก็ทวีความดุเดือดขึ้น โดยเวียดนามจากที่ไม่เคยส่งออกทุเรียนไปจีนเลยจนกระทั่งปี พ.ศ. 2563 แต่เมื่อเห็นว่าตลาดนี้ทำเงินได้มหาศาล การส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปยังจีนก็พุ่งสูงขึ้นถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 93,600 ล้านบาทในปี 2567 โดยส่วนแบ่งตลาดในจีนของเวียดนามพุ่งจาก 0% เป็นกว่า 40% ในเวลาเพียงสามปี นอกจากนั้น ปัจจุบันมาเลเซียซึ่งมีชื่อเสียงในทุเรียนสายพันธุ์มูซังคิงก็เข้าร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดทุเรียนในประเทศจีนด้วยหลังจากตกลงส่งออกทุเรียนสดตั้งแต่สิงหาคม 2567

FDI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ภายหลังจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภูมิภาคอาเซียนซบเซามาเป็นเวลานานหลายปี ความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2561 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิภาคอาเซียน ที่ทำให้อาเซียน 6 ประเทศหลักหรือ ASEAN - 6 สามารถดึงดูด FDI ได้ 14.5% ของ FDI ทั่วโลก ซึ่ง 65% ของเม็ดเงินลงทุนนั้นไหลเข้าไปยังสิงคโปร์

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ส่งผลให้จีนเร่งลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากดูตัวเลขในภาคการผลิต จะพบว่าสัดส่วน FDI จากจีนในพอร์ตการลงทุนของแต่ละประเทศในอาเซียนจากแทบไม่ถึง 10% ในปี พ.ศ. 2558 ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบัน ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนามมีสัดส่วน FDI จากจีนพุ่งสูงเกิน 25% ของจำนวน FDI ที่เข้ามาในประเทศทั้งหมด ทั้งนี้ แม้สัดส่วน FDI จากจีนในมาเลเซียและสิงคโปร์จะยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากได้รับเม็ดเงินการลงทุนจากประเทศในฝั่งตะวันตกในภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E)เป็นจำนวนมหาศาล แต่บทบาทของการลงทุนจากจีนยังมีความสำคัญชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ FDI จากจีนในอาเซียนนี้ไม่ได้รวมถึงฟิลิปปินส์ เนื่องจากการลงทุนจากจีนในฟิลิปปินส์ยังอยู่ในระดับไม่สูงนัก

ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุนจากจีนในประเทศในอาเซียนแตกต่างกันไปตามจุดเด่นของแต่ละประเทศ เช่น ในอินโดนีเซีย การลงทุนจากจีนจากผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV ชั้นนำอย่าง CATL และผู้ผลิตสแตนเลสอย่าง Tsingshan มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหลอมนิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า EV

สำหรับประเทศไทยนั้น ผู้ผลิตรถไฟฟ้า EV ชั้นนำของจีนอย่าง BYD, Great Wall Motor และ SAIC มองไทยเป็นฐานในการตั้งโรงงานผลิต ส่วนมาเลเซียซึ่งแข่งขันในตลาดการผลิตรถไฟฟ้า EV เช่นกัน ก็ดึงดูดการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Sector) ขณะที่ นักลงทุนจากจีนมองหาโอกาสขยายกำลังการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม

ผลกระทบจากภาษีนำเข้ายุค Trump 2.0

คำถามที่ลูกค้าถามมายังธนาคารเอชเอสบีซีเป็นจำนวนมาก คือ กลยุทธ์ "China+1" จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ท่ามกลางนโยบายกำแพงภาษียุค Trump 2.0 ทั้งนี้ แม้ขณะนี้จะยังเร็วไปที่จะสรุป แต่ข้อมูลก็บ่งชี้ว่ากลยุทธ์ China+1 จะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากการค้ายังคงเติบโตต่อเนื่อง และแนวโน้มการเติบโตของ FDI ยิ่งมากขึ้น

สิ่งที่ทำให้แปลกใจ คือ ประเทศไทยมีการขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มสูงจนมีมูลค่าเกือบ 7% ของ GDP ของประเทศไทย โดย 40% ของการขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ มาจาก "ภาคดิจิทัล" ซึ่งเราคาดว่ามาจากการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์

โดยการลงทุนจากจีนคิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมดของไทย ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่ลงทุนในภาคผลิตภัณฑ์โลหะ, ภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E), และภาคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและเติบโตในระดับสูงเช่นนี้ได้หรือไม่ไ เมื่อพิจารณาจากความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา และการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2569

เช่นเดียวกับมาเลเซีย มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนพุ่งสูงขึ้นช่วยผลักดันพอร์ต FDI รวมของประเทศ ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ส่วนเวียดนาม กระแส FDI ใหม่จากจีนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องช่วยชดเชยการลงทุนที่ลดลง ทั้งนี้ สิ่งสำคัญสำหรับอาเซียนไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องการย้ายฐานการผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นที่ว่าว่าภูมิภาคอาเซียนจะสามารถเปลี่ยนแนวโน้มนี้ให้เป็นส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ขึ้นในระดับโลกได้สำเร็จมากน้อยเพียงใด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ