การแฮ็คจิตใต้สำนึกเป็น มายากล หรือ วิทยาศาสตร์ พบคำตอบได้ใน DECEPTION WITH KEITH BARRY สารคดีชุดใหม่ของดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล

ข่าวบันเทิง Thursday December 1, 2011 13:36 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์ การอ่านใจคน การปลูกฝังความคิด การทำนายพฤติกรรม และการแฮ็คเข้าไปในจิตใต้สำนึก อาจฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มีชายคนหนึ่งทำได้ เขาคือ คีธ แบร์รี นักมายาจิตผู้โด่งดัง เขาขุดลึกลงไปสู่ปริศนาแห่งจิตใจ เพื่อเปิดเผยว่าคนธรรมดา ๆ จะสามารถควบคุมความสามารถของตนเอง และคนอื่นให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร ในซีรี่ส์ใหม่เอี่ยมของดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล ชุด Deception with Keith Barry จะออกอากาศรอบปฐมทัศน์ทุกวันพุธ เวลา 20.00 น. เริ่มวันที่ 7-28 ธันวาคม 2554 ทางช่องดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล (ทรูวิชั่นส์ 20) ถาม: ช่วยบอกสั้นๆ เกี่ยวกับรายการนี้ และการที่คุณมาเป็นนักมายาจิตได้อย่างไร? คีธ ผมเริ่มต้นจากการเป็นนักมายากลตั้งแต่อายุยังน้อย ผมคิดว่าตอนผมอายุห้าหรือหกขวบ ผมได้ของขวัญคริสตมาสเป็นชุดเล่นกล ความสนใจของผมจึงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น และจากชุดเล่นกลเหมือนนักมายากลทั้วไป หลังจากนั้นเมื่ออายุ 18 ผมไปเรียนวิทยาลัยและเรียนสาขาเคมี ตอนที่เรียนในวิทยาลัยผมได้พบแฟนซึ่งเวลานี้คือภรรยาผม ตอนนั้นเธอเรียนจิตวิทยา และนั่นทำให้ผมเริ่มสนใจจิตวิทยา การสะกดจิต และการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท อันที่จริงแล้วผมอาจจะศึกษาตำราจิตวิทยาของเธอมากกว่าเธอด้วยซ้ำ ถึงแม้ตอนนั้นผมจะเรียนเคมีก็ตาม หลังจากนั้น เมื่อผมจบจากวิทยาลัย ผมก็มาเป็นนักวิทยาศาสร์เครื่องสำอาง ซึ่งหมายความว่าผมเคยคิดค้นเครื่องสำอางของผู้หญิงและอะไรต่าง ๆ และตลอดเวลาผมก็แสดงมายากล และเริ่มผสมจิตวิทยา การสะกดจิต และมายากลเข้าด้วยกัน ผมคิดว่าจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมเริ่มสร้างหรือเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าการอ่านจิต โดยพื้นฐานแล้ว ผมคิดว่าการอ่านจิตก็คือคำเรียกที่ง่ายที่สุดของนักมายาจิต มันหมายถึงคนที่แฮ็คเข้าไปในสมองของบางคน ความจริงแล้วมันคือมายากลทางความคิด ซึ่งตรงกันข้ามกับมายากลทางกายภาพ ผมคิดว่าผมทำแบบนั้นมาตั้งแต่ผมอายุ 20 ต้น ๆ ผมใช้มายาจิตเป็นหลัก แทนที่จะเล่นมายากล และนั่นนำผมมาสู่รายการ Deception with Keith Barry ด้วยรายการนี้ผมตัดสินใจจะเปิดเผยบางส่วนว่าผมทำสิ่งที่ผมทำได้อย่างไร แต่ก็ยังซ่อนปริศนาเบื้องหลังการสาธิตเหล่านั้นไว้ ยกตัวอย่างเช่น ในรายการตอนหนึ่ง ผมจะสาธิตโดยการประเมินไอคิว คุณจะสามารถบอกว่าใครสักคนกำลังคิดอะไรได้อย่างไร โดยขึ้นอยู่กับว่าไอคิวของเขาอยู่ตรงไหน เรื่องนี้อาศัยการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นเทคนิคสำหรับวิธีประมวลข้อมูล นี่คือที่มาที่ไปของรายการนี้ว่าเริ่มมาอย่างไร และผมมาถึงจุดที่ผมอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร ถาม: รายการนี้แตกต่างจากรายการมายากลเรียลลิตี้อื่นอย่างไร? คีธ ผมคิดว่ามีข้อแตกต่างหลัก ๆ อยู่สองสามข้อ — ข้อแรกคือรายการนี้ไม่มีมายากลเลย ที่แสดงให้เห็น คือพลังความคิดของมนุษย์ และความคิดนั้นถูกแฮ็คเข้าไปได้อย่างไร และคุณสามารถปลูกฝังความคิดและสกัดความคิดออกมาได้อย่างไร ยกตัวอย่างนะครับ รายการตอนหนึ่งมีหัวข้อหลักคือการสะกดจิต สิ่งที่ทำให้รายการนี้แตกต่างจากรายการมายากล หรือแม้แต่รายการสะกดจิตทุกรายการก็คือ ผมพูดถึงส่วนที่รู้จักกันในนาม “สายลับฝังตัว” ซึ่งเรื่องเหล่านี้ซีไอเอในอเมริกาทำเมื่อทศวรรษที่ 60 และ 70 พวกเขาใช้การสะกดจิตเพื่อทำให้คนทำสิ่งที่ตนไม่ต้องการจะทำ และโดยที่คนทำนั้นไม่ยินยอม สิ่งที่ผมพบคือ ความจริงแล้วคุณสามารถทำให้คนอื่นทำสิ่งที่ฝืนหลักศีลธรรม ฝืนค่านิยมโดยที่เขาไม่ยินยอมได้ ยกตัวอย่างเช่นผมพาผู้ชายมาคนหนึ่ง และโปรแกรมให้เขาเป็นสายลับฝังตัว พูดอีกอย่างก็คือผมโปรแกรมเขาให้เป็นคนร้าย คุณจะเห็นในรายการว่าในความคิดของเขา เขากลายเป็นสายลับจริงๆ ในความคิดของเขา ในรายการ ผมทำให้เขาเชื่ออย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่งว่าเขาได้ลอบสังหารใครบางคน ลอบสังหารสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสายลับจากประเทศอื่น มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก เพราะคุณจะเห็นได้ว่าชายคนนี้ถูกสะกดจิตจนถึงจุดที่เป็นเหมือนผีดิบจริง ๆ และในตอนจบ เมื่อผมปลุกเขาจากภวังค์ เมื่อผมนำเขาออกจากการสะกดจิต เขาก็ร้องไห้โฮออกมา ผู้ชมทางบ้านอย่างคุณจะรู้ได้ว่าไม่มีทางที่จะแสร้งทำแบบนั้น และเขาถูกโปรแกรมความคิดจริง ๆ นั่นคือการแสดงตอนหนึ่ง มันแตกต่างอย่างมากจากรายการอื่น ๆ ทั้งหมด นอกจากนั้นผมคิดว่าภายในบริบทของการแสดงตอนอื่น ๆ บางตอน การแสดงตอนหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเดท อีกตอนเกี่ยวกับตำรวจทางตอนใต้ของลอสแองเจลิส ผมเปิดเผยนิดหน่อยว่าผมทำสิ่งที่ผมทำได้อย่างไร แต่ก็ไม่เฉลยมากเกินไป พูดอีกอย่างก็คือ ยังคงมีปริศนามากมายในนั้น มันไม่เหมือนรายการเหลวไหลที่พวกคุณบางคนอาจเคยเห็น เช่นรายการ Masked Magician ผมจะไม่เปิดเผยแค่กลเม็ด หรือวิธีการเบื้องหลังสิ่งต่าง ๆ แต่ผมจะให้ความเข้าใจลึกซึ้งเรื่องความคิดของมนุษย์ และวิธีการทำงานของมัน และสอนผู้ชมทางบ้านว่าเขาสามารถไปลองใช้วิธีนี้กับเพื่อนและครอบครัวของเขาอย่างไร มันมีลักษณะปฏิสัมพันธ์มากในด้านนั้น นอกจากนั้นผมคิดว่านี่ยังทำให้มันสนุกขึ้นเยอะสำหรับผู้ชม และสุดท้าย หนึ่งในการสาธิตที่ผมทำขณะที่ผมใช้เวลากับตำรวจทางตอนใต้ของลอสแองเจลิส ผมถามตำรวจคนหนึ่งว่า “คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ผมจะแฮ็คเข้าไปในความคิดของคุณ ถ้าคุณช็อตผมด้วยปืนช็อตในเวลาเดียวกัน?” แน่นอน เขาตอบว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้” ผมบอกว่า “ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นไปได้เหมือนกัน แต่มีเพียงทางเดียวที่จะทดสอบทฤษฎีนี้ คือคุณต้องช็อตผม และระหว่างที่คุณช็อตผม ให้คุณคิดเรื่องอะไรก็ได้ในโลกที่คุณอยากคิด” ด้วยวิธีนี้ ตำรวจคนนั้นเขาช็อตผมด้วยไฟฟ้า 50,000 โวลต์จากปืนของเขา ในขณะที่ผมพยายามแฮ็คเข้าไปในความคิดของเขา คุณต้องมาดูรายการนี้เพื่อจะรู้ว่าผมทำสำเร็จหรือไม่ ถาม: ในเอเชียมีการถกเถียงเกี่ยวกับจิตวิทยาและปรากฏการณ์ปาฎิหาริย์มากขึ้น คุณตีความหมายความสนใจในเรื่องอิทธิฤทธิ์ และความเชื่อในสิ่งที่ปกติจะมองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้อย่างไร? คีธ ครับ ผมสนใจเรื่องปรจิตวิทยาและโลกด้านนั้นมาก ผมเป็นคนแบบที่ผมขอเรียกว่าคนช่างสงสัยในทางที่ดี ถ้าคุณจะเรียกแบบนั้นนะ พูดอีกอย่างก็คือ ผมไม่เคยเชื่อสิ่งที่ผมเห็นในทันทีที่ผมเห็นสิ่งนั้น ผมชอบเสมอที่จะค้นหาความจริงและดูคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลมาก ๆ สำหรับบางเรื่อง ผมคิดว่าในยุคสมัยที่เราอยู่ ผมเชื่อจริง ๆ ว่าปรจิตวิทยากำลังจะได้รับความนิยมมากกว่าที่เป็นอยู่ มันเป็นเรื่องใหญ่ในทั่วโลก ทุกเรื่องตั้งแต่ผี วิญญาณ เทพยดา ไปจนถึงญาณวิเศษและเรื่องปาฏิหาริย์ทุกอย่าง ผมคิดว่าคนในสมัยใหม่ ยิ่งเราถูกผลักดันด้วยเทคโนโลยีมากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งแสวงหาสิ่งที่ลึกลับมากเท่านั้น พูดตามตรงนะ มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับผม ผมชอบเรื่องแนวนี้ทั้งหมด อันที่จริงแล้วผมค้นหาความจริงในด้านนี้อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ที่ไอร์แลนด์นี่ผมค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องการค้นหาความจริงเรื่องผู้มีญาณวิเศษ และผมได้ข้อสรุปว่าอย่างน้อยในยุโรปนี่ รวมทั้งในอเมริกาซึ่งผมถ่ายทำรายการนี้ ผมยังไม่พบหรือเห็นผู้มีญาณวิเศษของจริง พูดอีกอย่างก็คือ ผมเชื่อว่าผู้มีญาณวิเศษทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ผมคิดว่าพวกเขาแสร้งทำเป็นผู้มีญาณวิเศษ แต่พวกเขาใช้เทคนิคซึ่งคนทั่วไปไม่รู้ พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาใช้เทคนิคการอ่านใจ พวกเขาใช้เทคนิคการหาข้อมูล เทคนิคการเตรียมข้อมูลล่วงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคลับซึ่งทำให้ดูเหมือนคนกำลังอ่านใจได้ ในขณะที่ความจริงแล้วพวกเขาทำคล้าย ๆ กับที่ผมทำ ซึ่งก็คือพวกเขากำลังอ่านภาษากาย และใช้เทคนิคอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อทำให้ดูเหมือนพวกเขามีสัมผัสที่หก ครับ ผมคิดว่าโลกเกี่ยวกับปาฏิหาริย์นั้นน่าสนใจมาก ผมอยากเจอคนมีญาณวิเศษของจริง หรือผมอยากเจอผีด้วยตัวเอง แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น ถาม: ใคร ๆ ก็เป็นนักมายาจิตได้ ใช่หรือเปล่าครับ? คีธ ใช่ครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น ผมฝึกฝนและเรียนรู้มาเกือบตลอดชีวิตเพื่อจะมาถึงจุดที่ผมอยู่ในปัจจุบัน ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าผมเริ่มต้นจากการเป็นนักมายากล แต่ความจริงแล้วผมศึกษาจิตวิทยา การสะกดจิต การโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท และมายากล มาตั้งแต่ผมอายุ 18 ตอนนี้ผมทำมา 17 ปีแล้ว แต่ผมได้ฝึกฝนตัวเอง และผมได้ฝึกฝนความคิดของผมเพื่อจะทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ผมคิดว่าคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมสามารถให้แก่คนที่สนใจ — เพราะมีคนถามคำถามนี้กับผมเยอะ “คุณมาเป็นนักมายาจิตได้ยังไง?” — ก็คือให้คุณอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวกับการเป็นนักมายาจิต ผมคิดว่าอีกคำถามก็คือคุณจะเริ่มต้นจากตรงไหน? คุณสามารถเริ่มต้นจากหนังสือเกี่ยวกับการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท คนที่คิดค้นและเขียนเรื่องการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท เขาชื่อริชาร์ด แบนด์เลอร์ ดังนั้นผมขอแนะนำเป็นพิเศษให้คุณอ่านหนังสือเล่มไหนก็ได้ที่เขาเขียน คุณจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการโปรแกรมด้วยภาษาระบบประสาท นอกจากนั้นคุณจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการสะกดจิต หนังสือเรื่องการสะกดจิตที่ดีที่สุดนั้นเขียนโดยคนชื่อมิลตัน อีริคสัน ผมอ่านหนังสือเหล่านั้นมาแล้วทุกเล่ม แล้วคุณก็ต้องมีพื้นฐานด้านมายากลเช่นกัน ผมจึงอ่านหนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับมายากล และเรียนรู้วิธีผสมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนั่นคือสิ่งที่ผมได้ทำมา จากนั้นคุณก็ต้องลองทำสิ่งเหล่านี้กับคนอื่น ในช่วงแรก ๆ คุณจะล้มเหลวหลายครั้ง และรู้สึกว่าตัวเองโง่นิดหน่อย แต่บางครั้งนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชายแตกต่างจากเด็กผู้ชาย อย่างที่เขาพูดกัน คนที่สามารถยอมรับความล้มเหลว และยังคงเพียรพยายามต่อไป ก็จะเรียนรู้และก้าวหน้า สำหรับใครก็ตามที่อยากจะเป็นนักมายาจิต นั่นคือสิ่งที่ผมจะแนะนำ คือให้ศึกษา ศึกษา ศึกษา และฝึกฝน ฝึกฝนเทคนิคทั้งหมดนี้ต่อหน้าผู้คนจริง ๆ ให้คุณฝึกฝนกับเพื่อน ฝึกฝนกับครอบครัว แล้วก็ก้าวต่อไปจากตรงนั้น ถาม: ถ้าพูดในแง่วิชาการ คุณสามารถใช้มายาจิตปล้นเงินจากธนาคารได้ไหม? คีธ ในอดีตมีคนชื่อโวล์ฟ เมสซิง เขาเป็นนักใช้พลังจิตมือหนึ่งของสตาลิน สตาลินสงสัยว่า โวล์ฟ เมสซิง จะทำการปล้นธนาคารได้หรือไม่? คำตอบคือ ทำได้ โวล์ฟ เมสซิง เข้าไปและเอาเงินออกมาจากธนาคารโดยใช้การสะกดจิต เขาสะกดจิตพนักงาน Teller ที่เคาน์เตอร์ของธนาคาร ให้ส่งเงินสดทั้งหมดมาให้เขา นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง นี่เป็นเรื่องจริง มันอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ มันเกิดขึ้นจริง ๆ ที่โวล์ฟ เมสซิงปล้นธนาคารโดยใช้การสะกดจิต แต่ในการแสดงตอนหนึ่ง ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะโปรแกรมบางคนได้อย่างไร ให้เขาทำสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมหรือค่านิยมของเขา ในรายการที่ผมทำให้ดิสคอฟเวอรี่ ผมให้ชายคนหนึ่งไปที่เครื่องเอทีเอ็ม เบิกเงินออกมาสองร้อยดอลลาร์ แล้วเขาก็ทิ้งมันลงไปในถังขยะ ในสภาพถูกสะกดจิต เขาไม่รู้เลยว่าเขาทิ้งมันลงไปในถังขยะ จนกระทั่งผมวิ่งไปหาเขาและเอาเงินนั้นคืนเขา ผมเชื่อแน่นอนว่าธนาคารสามารถถูกปล้นโดยใช้การสะกดจิตได้ ผมเคยทำหรือยัง? ผมกำลังบอกพวกคุณว่าผมไม่เคย เช่นเคยครับ คุณสามารถหาดูได้ทางยูทูบ ว่าพวกเขากำลังค้นหาว่ามีนักสะกดจิตคนไหนเคยปล้นธนาคารโดยใช้การสะกดจิต อย่างเช่นภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นคนสะกดจิตพนักงานรับฝากถอนของธนาคาร ให้ส่งเงินให้ ความจริงแล้วมันเป็นอาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานี้ ความจริงแล้วผมจำชื่อแก๊งนี้ไม่ได้ แต่พวกคุณอาจจะรู้ ผมรู้มาว่ามีแก๊งนักสะกดจิตในฟิลิปปินส์กำลังเที่ยวปล้นประชาชน ผมจำชื่อแก๊งนี้ไม่ได้ ดังนั้นขอให้ระวัง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ