กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--ตลท.
ดร. บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย เปิดเผยในงานสัมมนานำเสนอผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยประจำปี 2554 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2011) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ว่า แม้ปีนี้จะมีการปรับหลักเกณฑ์ให้คะแนนการกำกับดูแลกิจการให้เข้มขึ้น แต่บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยก็ได้คะแนนด้านการกำกับดูแลกิจการเฉลี่ยอย่างน่าพอใจ โดยจากการสำรวจ บจ. ทั้งหมด 497 บริษัท คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 77 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามเกณฑ์แล้ว ถือว่า อยู่ในระดับดี แม้คะแนนเฉลี่ยจะลดลงจาก 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2553 (480 บริษัท) ก็ตาม
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบจำนวนบริษัทตามผลการสำรวจที่ได้รับในแต่ละระดับ ซึ่งมีการประกาศผลตามจำนวนสัญลักษณ์ของคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ ก็พบว่า ร้อยละ 73 ของบริษัทจดทะเบียนที่ทำการสำรวจในปีนี้ ได้รับคะแนนในระดับที่สูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และมี 47 บริษัท (ร้อยละ 9 ของบริษัทที่ทำการสำรวจ) ที่ได้คะแนนในระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดีเลิศแบ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม SET 100 จำนวน 30 บริษัท และมีบริษัทขนาดกลางและเล็กจำนวน 10 และ 7 บริษัทตามลำดับ
สำหรับโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนนี้ IOD ดำเนินการเป็นประจำทุกปีและเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีหลักเกณฑ์การสำรวจทั้งสิ้น 5 หมวด ได้แก่ สิทธิของผู้ถือหุ้น การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน การคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการทั้งในระดับประเทศและในระดับสากล ล่าสุดในปี 2554 มีเกณฑ์การสำรวจทั้งสิ้น 148 ข้อจากเดิมที่มีจำนวน 132 ข้อในปี 2553 โดยเกณฑ์ใหม่นี้ มีความครอบคลุมมากขึ้นในประเด็นการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Corporate Social Responsibilities หรือ CSR เช่น ปีนี้ มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการต่อต้านการทุจริตเป็นครั้งแรก ทั้งนี้นอกจากจะเพิ่มจำนวนข้อในหมวดนี้แล้ว ยังมีการให้น้ำหนักความสำคัญในหมวดนี้เพิ่มขึ้นด้วย
แต่หากไม่นำหลักเกณฑ์ใหม่มาพิจารณา จะพบว่า ในปีนี้ คะแนนเฉลี่ยภาพรวมที่บริษัทจดทะเบียนได้รับนั้น เท่ากับ 82 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในปี 2553
“สำหรับผลสำเร็จของโครงการนี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่เพียงการเพิ่มขึ้นของคะแนนจากการสำรวจ แต่รวมถึงการให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และความพยายามในการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่องของบริษัทจดทะเบียนด้วย ดังนั้น IOD จะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.ในการส่งเสริมความรู้ด้านการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลกิจการและการปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าวให้กับบริษัทจดทะเบียนต่อไป” ดร. บัณฑิต นิจถาวรกล่าว
ทั้งนี้หากพิจารณาคะแนนเฉลี่ยรายหมวดของผลสำรวจในปี 2554 จะพบว่า หมวดที่ได้รับคะแนนเฉลี่ยสูงสุดยังคงเป็นหมวดสิทธิของผู้ถือหุ้น ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหมวดที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด และมีช่วงห่างระหว่างคะแนนสูงสุดและคะแนนต่ำสุดมากที่สุดคือ หมวดการคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 61 เปอร์เซ็นต์ และมีช่วงห่างของคะแนนสูงสุดในหมวดนี้เท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์และคะแนนต่ำสุด เท่ากับ 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคะแนนของหมวดนี้มีผลสำคัญทำให้คะแนนเฉลี่ยในภาพรวมของปีนี้ลดลง
ดร.บัณฑิต ได้นำเสนอเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการนี้ หมวดการคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสียถือเป็นหมวดหนึ่งที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อย และมีช่วงห่างระหว่างคะแนนสูงสุดและคะแนนต่ำสุดมากที่สุดมาโดยตลอด เมื่อมีการเพิ่มเกณฑ์ใหม่ที่เข้มงวดขึ้นในเรื่อง CSR ประกอบกับมีการให้น้ำหนักความสำคัญกับหมวดนี้มากขึ้น ทำให้คะแนนเฉลี่ยที่บริษัทส่วนใหญ่ได้รับลดลง เนื่องจากยังไม่สามารถพัฒนาตาม แต่ก็มีบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่สามารถพัฒนาจนได้คะแนนเต็มในหมวดนี้ จึงเชื่อมั่นว่า ในปีถัดไป บริษัทจดทะเบียนไทยจะสามารถพัฒนาคะแนนเฉลี่ยในหมวดนี้ให้ดีขึ้น”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
คุณวีรวรรณ มันนาภินันท์
ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและนโยบาย
สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
โทรศัพท์ 02-955-1155 ต่อ 300
โทรสาร 02-955-1156-7
Email :
[email protected]