MOVIE: W.E.

ข่าวบันเทิง Thursday December 22, 2011 11:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Romance / Drama กำหนดฉาย 9 กุมภาพันธ์ 2012 จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง โคลิน เวนส์ (The Young Victoria, Miss Potter) กำกับ/เขียนบท มาดอนน่า (Evita, A League of Their Own) นำแสดง เจมส์ ดีอาห์ซี่ย์ (Master and Commander, Exorcist: The Beginning) แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์ (Happy-Go-Lucky, Never Let Me Go) แอบบี่ย์ คอร์นิช (Sucker Punch, Bright Star) ออสการ์ ไอแซ็ค (Sucker Punch, Robin Hood, Drive) “ ความรัก อาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่ความรักทำให้โลกหันกลับมามองได้ “— มาดอนน่า เนื้อเรื่อง ภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดตำนานรักแท้แห่งศตวรรษที่ 20 ที่บอกเล่าผ่านเรื่องราวเส้นคู่ขนาน ในปี 1998 ทุกคนในแมนฮัตตันต้องตื่นเต้น เมื่อมีการจัดงานประมูลทรัพย์สินของดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ ซึ่งรวมถึง วัลลี่ วินโทรป (แอบบี่ย์ คอร์นิช) ผู้หญิงที่ติดอยู่กับชีวิตคู่ที่ย่ำแย่ เธอหลงไหลในเรื่องราวความรักระหว่าง วาลลิส ซิมป์สัน (แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์) หญิงสาวชาวอเมริกันผู้เด็ดเดี่ยว และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 (เจมส์ ดีอาห์ซี่ย์) วัลลี่ ได้ทำความเข้าใจสิ่งที่ วาลลิส เสียสละในการอยู่กับ เอ็ดเวิร์ด และทำให้เธอพบความกล้าที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ W.E. เป็นผลงานการกำกับและร่วมเขียนบทของ มาดอนน่า เจ้าแม่แห่งวงการดนตรี ที่ได้ทีมงานคุณภาพที่ถ่ายทอดความงดงามในหนังพีเรียดมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ ฮาเกน บ็อกดานสกี้ (The Young Victoria, The Lives of Other), ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ติน ไชลด์ (Shakespeare in Love, Quills) รวมถึงผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอเดรียน ฟิลลิปส์ (Walk the Line) หนังนำแสดงโดย เจมส์ ดีอาห์ซี่ย์ (Master and Commander, Exorcist: The Beginning), แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์ (Happy-Go-Lucky, Never Let Me Go), แอบบี่ย์ คอร์นิช (Sucker Punch, Bright Star) และ ออสการ์ ไอแซ็ค (Sucker Punch, Robin Hood, Drive) จุดเริ่มต้น: ชีวิตของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด “คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า มันลำบากแค่ไหนกับการมีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" - วาลลิส ซิมป์สัน มาดอนน่า ซึ่งเป็นผู้กำกับและเขียนบทได้พัฒนาเรื่องราวของ W.E. มานานหลายปี โดยเธอมีความสนใจในเรื่องราวของ ดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ แต่เธอไม่ต้องการทำหนังชีวประวัติโดยตรง เธอต้องการจับเอาองค์ประกอบของความรักและถ่ายทอดผ่านเรื่องราวความรักในศตวรรษที่ 20 มาดอนน่า พูดถึงแรงบันดาลใจในการสร้างว่า "ความจริงขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล ทุกอย่างที่ฉันใช้เพื่อถ่ายทอดตัวตนของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด เป็นสิ่งที่ฉันได้มาจากการค้นคว้าของตัวเอง ฉันต้องการทำให้ทุกคนเห็นตัวตนของ วาลลิส มากกว่าที่เคยรู้จัก และฉันก็สร้างตัวละคร วัลลี่ ขึ้นมาเพื่อเป็นมุมมองของคนนอก วัลลี่ คิดว่าเธอกำลังมองเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็พบว่ามันอาจจะไม่ใช่รักที่สมบูรณ์แบบ เมื่อทั้ง วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ต้องเสียสละสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง" เบสซี วาลลิส วอร์ฟิลด์ เกิดในรัฐเพนซิลวาเนีย ปี 1896 พ่อของเธอเสียชีวิตไม่นานนักหลังจากเธอเกิด เธอและแม่ต้องไปอยู่กับบรรดาญาติ ลุงของ วาลลิส ส่งเธอเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดในรัฐแม่รี่แลนด์ และทำให้เธอได้รู้จักกับบรรดาลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะที่สุดในอเมริกา วาลลิส เป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเอง เธอมักแต่งตัวเรียบร้อยและมีความเป็นกุลสตรี มาดอนน่า พูดถึง วาลลิส ว่า "มันสำคัญที่จะเข้าใจยุคสมัยที่ วาลลิส อยู่ในขณะนั้น ที่ทางเลือกของผู้หญิงมีเพียงการแต่งงาน คุณจะไม่มีทางได้ดีไปกว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วย ถ้าคุณเจอผู้ชายที่ดี ชีวิตก็จะมีความสุข แต่ถ้าไม่ คุณก็จะต้องจำใจทนอยู่กับชีวิตคู่" ในปี 1916 วาลลิส พบกับสามีคนแรก เอิร์ล วินฟิลด์ สเปนเซอร์ จูเนียร์ นาวิกโยธินสหรัฐ แต่การแต่งงานของทั้งคู่ไม่ได้มีความสุขนัก สเปนเซอร์ เป็นคนติดเหล้า ในปี 1920 พวกเขาแยกกันอยู่เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะกลับมาอยู่ด้วยกันในปี 1921 แต่ก็มาแยกกันอีกครั้งในปี 1922 เมื่อ วินฟิลด์ ต้องไปประจำการอยู่ทางเอเชียตะวันออก วาลลิส เดินทางไปประเทศจีนในปี 1924 เพื่อที่จะอยู่กับเขา ในปี 1925 เธอและ วินฟิลด์ ก็ได้ย้ายกลับมายังสหรัฐ ก่อนที่จะหย่ากันในปี 1927 ก่อนที่การหย่าจะเป็นทางการ วาลลิส เริ่มมีความสัมพันธ์กับ เออร์เนส ซิมป์สัน นักธุรกิจขนส่งสินค้า ซึ่งเขาเองก็เพิ่งหย่ากับภรรยาคนแรก ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันในปี 1928 และย้ายไปอยู่ลอนดอน ธุรกิจการขนส่งสินค้าของ ซิมป์สัน ประสบความสำเร็จ ทั้งคู่ย้ายเข้าไปอยู่ในแมนชั่นหรูและสนุกกับชีวิตของสังคมชั้นสูง เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พบ วาลลิส ครั้งแรกในเดือนมกราคม ปี 1931 ระหว่างสุดสัปดาห์การล่าสัตว์ เอ็ดเวิร์ด เป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ชายที่ชอบทำทุกอย่าง และยังมีชื่อเสียงในเรื่องการหว่านสเน่ห์ให้ผู้หญิง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับ เลดี้ เธลม่า เฟอร์เนส เขาก็ตกหลุมรัก วาลลิส เข้าอย่างจัง เขาบอกเธอว่า "คุณคือผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ" พวกเขาเจอกันในงานสังคมเรื่อยมา จนถึงปี 1934 วาลลิส ก็ได้กลายเป็นคู่รักของเขา มาดอนน่า พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนว่า "วาลลิส มีความสุขเมื่อได้อยู่กับ เอ็ดเวิร์ด ฉันคิดว่าเธอไม่นึกว่ามันจะยืนยาวอย่างที่เป็น ในขณะเดียวกัน เอ็ดเวิร์ด พบว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่เธอเป็นผู้หญิงที่พูดตามที่คิด และไม่รู้สึกประหม่าเมื่ออยู่กับเขา ฉันพยายามจับอารมณ์ขันของเธอ และความรู้สึกเหมือนคนฐานันดรเดียวดันระหว่างเธอกับเขา วาลลิส เป็นผู้หญิงที่มีไหวพริบ ตลก และยังทำมาร์ตินี่ได้สุดยอด" ถึงแม้ วาลสิส จะไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์นี้ยั่งยืนหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า เอ็ดเวิร์ด ที่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมาหลายคน มีความจริงจังกับ วาลลิส มากกว่าครั้งไหนๆ พวกเขาไปพักร้อนด้วยกัน เขายังแนะนำเธอกับ ควีนแมรี่ รวมถึงพระบิดา คิงจอร์จ ที่ 5 ซึ่งไม่พอใจกับการตัดสินใจของเขา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของราชวงค์ต้องมัวหมอง มาดอนน่า เข้าใจว่า วาลลิส ต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของ เอ็ดเวิร์ด มากขึ้นเรื่อยๆ "เธอสนใจในสิ่งที่เขาทำ เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ให้ความสนใจโลกที่เขาอยู่ ซึ่งนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสนใจเธอ ถ้ามองจากภายนอก หลายคนอาจเห็นว่าเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม และคิดว่าเธอต้องการครองอำนาจ แต่เมื่อมองถึงการพัฒนาที่ลึกไปกว่านั้น ฉันคิดว่าเธอเปิดให้เขาได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต" เดือนมกราคม 1936 คิงจอร์จ ที่ 5 พระบิดาของ เอ็ดเวิร์ด ก็ถึงแก่กรรม ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น คิงเอ็ดเวิร์ด ที่ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ วาลลิส จึงกลายเป็นปัญหา เพราะในขณะนั้นศาสนาคริสต์ นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์กำหนดไม่ให้คนที่หย่าแล้วแต่งงานใหม่ และในขณะนั้น วาลลิส ก็ยังแต่งงานอยู่กับ ซิมป์สัน ระหว่างที่เธอมีความสัมพันธ์กับ เอ็ดเวิร์ด แม้ว่าเธอจะหย่าอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ของอังกฤษจะอภิเษกสมรสกับแม่ม่ายชาวอเมริกัน พิธีการสถาปนาใกล้เข้ามา เอ็ดเวิร์ด ได้รับคำแนะนำจาก สแตนลี่ย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ที่บอกว่าให้ไตร่ตรองความสัมพันธ์ของเขา ในขณะที่คำสั่งเสียของพระบิดาก็ยังตามหลอกหลอนเขา "ให้จำสถานะของตัวเองเอาไว้" เอ็ดเวิร์ด พยายามเกลี้ยกล่อมให้ครอบครัวของเขายอมรับ วาลลิส แต่มันก็ไม่เป็นผล ไม่มีทางที่ วาลลิส จะเป็นราชินีที่เหมาะสม กระแสตอบรับจากสังคมบอกว่า วาลลิส เป็นพวกปีนป่ายฐานะทางสังคม ที่ต้องการ เอ็ดเวิร์ด เพราะสถานะและความร่ำรวย แต่ถึงจุดนี้ วาลลิส ก็พร้อมที่จะยุติความสัมพันธ์ เธอต้องการให้ เอ็ดเวิร์ด ขึ้นครองราชย์โดยไร้มลทิน อย่างไรก็ตามเขาได้ประกาศเอาไว้ว่า "เราจะแต่งงานกับ ซิมป์สัน บนบัลลังก์หรือไม่ก็ไม่ครองราชย์เลย" นอกจากแรงกดดันจากนายกรัฐมนตรี ราชวงค์ และที่ปรึกษา แต่ เอ็ดเวิร์ด ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว จนในที่สุดเดือนธันวาคม ปี 1936 เขาก็ได้แถลงการต่อหน้าประชาชนว่า เขาเลือกความรักแทนบัลลังก์ มาดอนน่า สรุปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และสิ่งที่เธอมุ่งมั่นในการทำเรื่องนี้ว่า "ฉันหยุดคิดไม่ได้ว่า ผู้ชายคนไหนกันที่ยอมสละตำแหน่งผู้นำประเทศเพื่อผู้หญิงที่เขารัก เพราะจากมุมมองของฉัน ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ ผู้ชายทุกคนต่างช่วงชิงที่จะขึ้นครองบัลลังก์ แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกที่จะปฏิเสธอำนาจ อะไรเป็นแรงจูงใจ เป็นเพราะแรงกดดันหรือความรัก ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นทำให้เขาเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ฉันอยากรู้ตัวตนของเธอให้มากกว่านี้" การพัฒนาเรื่องราว W.E. เพราะความหลงไหลในตัว วาลลิส ซิมป์สัน และเรื่องราวความรักอันทรงพลัง มาดอนน่า ใช้เวลาสองปีในการเขียนบทภาพยนตร์ ทั้งเรื่องราวที่อิงจากประวัติศาสตร์ และเรื่องแต่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาดอนน่า ค้นคว้าศึกษาข้อมูลจากหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ดูสารคดีทุกตัวเกี่ยวกับพวกเขา รวมถึงสัมภาษณ์ผู้คนที่รู้จักหรือรู้เรื่องราวระหว่าง วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ระหว่างการค้นคว้าหาข้อมูล องค์ประกอบที่ถือเป็นสิ่งสำคัญ นั้นคือ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ได้เขียนจดหมายถึงกันตลอดความสัมพันธ์ จดหมายเหล่านี้ถูกนำมาใช้ถ่ายทอดในหนัง และก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อหนัง W.E. ที่ย่อมากจากตัวอักษรแรกของชื่อของทั้งคู่ ที่จะลงเอาไว้ท้ายจดหมาย มาดอนน่า เล่าว่า "ฉันพบว่าจดหมายเหล่านี้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพราะทุกคนมักปลดปล่อยความรู้สึกที่แท้จริงเมื่อเขียนเป็นตัวหนังสือ" มาดอนน่า ยังศึกษาข้อมูลจากการประมูลทรัพย์สินของดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ ในปี 1998 ซึ่งการประมูลถือเป็นปรากฏการณ์ โดยมีผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่า 1,000 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ที่ร่วมกันประมูลทรัพย์สินของทั้งคู่ และมียอดประมูลมากกว่า 23.4 ล้านเหรียญ มากกว่าการตีราคาไว้ที่ 7 ล้านเหรียญ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังที่ไม่เสื่อมคลายของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด" การประมูลกลายเป็นอีกหนึ่งเส้นเรื่องของ W.E. เมื่อชาวนิวยอร์ค วัลลี่ วินโทรป เข้ามางานประมูลเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราว ที่เธอเชื่อว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 การได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ของ วาลลิส ชีวิตในแต่ละช่วงของเธอก็ได้วิ่งผ่านสมองของ วัลลี่ เปรียบเสมือนประตูเวลาที่พาผู้ชมก้าวข้ามไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน มาดอนน่า ได้ร่วมเขียนบทกับ อเล็ก คิเชเชียน ที่เป็นผู้กำกับสารคดีของเธอเรื่อง Truth or Dare โดย อเล็ก ได้พูดถึงการพัฒนาไอเดียว่า "มาดอนน่า ต้องการเล่าเรื่องของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ผ่านเรื่องราวในโลกปัจจุบันของ วัลลี่ และการประมูล พวกเราได้บอกความรู้สึกและไอเดียของตัวเองออกมา และนำมาผสานเรียงร้อยกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนในที่สุดเราก็พร้อมที่จะทำให้มันเป็นบทภาพยนตร์ ผมใช้เวลา 4 อาทิตย์ในนิวยอร์คกับเธอ และเขียนบทร่วมกับทุกวัน จนกลายเป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์" มาดอนน่า พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า "วัลลี่ เริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง โหยหาที่จะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน เพราะเธอไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของตัวเอง มันสำคัญในการสร้างตัวละครที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไร้ความรัก และพยายามหาจุดเปลี่ยนและตามหาความหมายที่แท้จริงของคำว่ารัก" ในระหว่างการเข้าร่วมงานประมูล วัลลี่ ก็ได้พบกับยามรักษาความปลอดภัยชาวยูเครน ยูจีนี่ และในไม่ช้า วัลลี่ ก็ได้ค้นพบว่าชีวิตของ วาลลิส ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด แต่มันก็ได้มอบพลังให้เธอในการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต และเปิดประตูเพื่อรับโอกาสใหม่เข้ามา มาดอนน่า สรุปถึงการสร้างเรื่องราวทั้งสองของ W.E. ว่า "ในตอนสุดท้ายของหนัง มันถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของ วัลลี่ เธอพบว่าในโลกนี้ไม่มีรักที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่ถึงแม้รักของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด จะไม่สมบูรณ์แบบ มันก็ยังคงมีความรักระหว่างกันอยู่ ฉันคิดว่าความรักนั้นล้วนต้องมีการประนีประนอม นั้นคือสารที่ฉันอยากจะพูดในหนัง"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ