กรุงเทพฯ--15 มี.ค.--เวเบอร์ แชนด์วิค (ประเทศไทย)
เจ้าของสูตรลดน้ำหนัก "10-20-30" เผย ผู้ที่ลดน้ำหนักไม่ได้ผล อย่าท้อ เพราะปัจจุบันแพทย์ใช้ยาลดน้ำหนักกลุ่มใหม่กับผู้ประสบปัญหาโรคอ้วน เพื่อช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริง และยังเป็นกำลังใจให้เห็นผลในช่วงแรกของการเริ่มต้นลดน้ำหนัก แถมยังช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนอีกด้วย
เภสัชกรหญิงอำพร เจริญสมศักดิ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแร-ตอรีส จำกัด ผู้คิดค้นและวิจัยเวชภัณฑ์เพื่อการลดน้ำหนักจากประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักอย่างถาวร คือ การกินอาหารที่มีไขมันต่ำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องอาศัยความอดทน เพื่อทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ในแง่กลับกันคนเรามักใจร้อน อยากจะผอมเร็วๆ จึงทำให้เกิดการใช้ยาลดน้ำหนักอย่างผิดๆ เช่น เลือกใช้ยากลุ่มเก่าที่มีราคาถูกหาซื้อได้ง่าย ทำให้นิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือที่เราเรียกว่าลดกันอย่างฮวบฮาบ โดยไม่กลัวอันตรายจากยาหรืออาการข้างเคียงที่รุนแรงของยากลุ่มเก่านี้เลย ผลจากการใช้ยาดังกล่าวจะไม่ส่งผลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวร อยากใช้ก็ใช้ อยากเลิกก็เลิก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการโยโย่ หรือน้ำหนักกลับมาเพิ่มมากกว่าเดิมแล้ว ยังเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายทำให้นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ความดันโลหิตสูง หงุดหงิด หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง และหากใช้ยาติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดการติดยาและทำให้เป็นป่วยเป็นโรคจิตได้ ฉะนั้น ข้อสำคัญและควรคำนึงถึงในการใช้ยาลดน้ำหนักเพื่อให้ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว คือต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็ต้องพิจารณาเลือกสถานพยาบาลที่มีแพทย์หรือบุคคลาการทางแพทย์ พร้อมจะให้คำปรึกษาในการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายที่เหมาะสมควบคู่กันด้วย
ในปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นไทยจำนวนมากโดยเฉพาะสตรีนิยมใช้ยาลดน้ำหนัก และมีค่านิยมที่จะต้องมีรูปร่างผอมเพรียว ถึงจะเรียกว่าหุ่นดี และเสื้อผ้าสมัยใหม่ในปัจจุบันก็มีขนาดเล็กมาก แต่ในความเป็นจริง ตามหลักวิชการแล้วการใช้ยาลดน้ำหนักมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งไม่ควรใช้ยาเพื่อหวังผลในการปรับปรุงรูปร่างให้ดีขึ้นเท่านั้น
ประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแท้จริงของยาลดน้ำหนัก คือ การใช้ยาลดน้ำหนักกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน หรือ น้ำหนักเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่อาจเกิดโรคแทรกซ้อนจากภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วน การรักษาโรคอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย หากได้รับการรักษาโดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างน้อย 3 เดือนแล้วไม่ได้ผล การใช้ยาลดน้ำหนักก็เป็นทางเลือกที่แพทย์จะใช้รักษากลุ่มคนดังกล่าว เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลจริง เพราะยาจะช่วยทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดกำลังใจในการลดน้ำหนัก ปัจจุบัน ยาลดน้ำหนักที่ใช้ช่วยในการควบคุมอาหารในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน สามารถแบ่งได้เป็น สองกลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นยากลุ่มเก่า เช่น เฟนเทอร์มีน (Phentermine) ที่เป็นอนุพันธุ์ของแอมเฟตามีนหรือยาบ้า จัดอยู่ในกลุ่มวัตถุกลุ่มออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ทำให้ลดความอยากอาหาร จึงทำให้ลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ และอาจทำให้เกิดโยโย่ หากไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในระยะยาว โดยยากลุ่มนี้ไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันเกิน 3 เดือน ซึ่งตามกฎหมายจะห้ามมิให้จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด
ส่วนยาลดน้ำหนักกลุ่มใหม่ ได้แก่ ซิบูทรามีน (Sibutramine) ไม่จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ช่วยทำให้อิ่มเร็ว และอิ่มนานขึ้น ทำให้ควบคุมอาหารง่ายขึ้น ลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ช่วยในการปรับพฤติกรรมใหม่ได้ดีกว่ายากลุ่มเก่า เนื่องจากสามารถใช้ติดต่อกันได้นานถึง 1 ปี แต่การใช้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ เมื่อผู้นั้นปรับพฤติกรรมได้อย่างถาวรแล้วก็สามารถหยุดยาได้ ที่สำคัญต้องปรับนิสัยให้รักการออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวเป็นประจำ และเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แคลอรีต่ำ ก็จะช่วยรักษาน้ำหนักที่ลดลงไว้ได้ตลอดไป
สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านโรคอ้วนหรือต้องการที่จะลดน้ำหนัก สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่ "10-20-30 ศูนย์ข้อมูลลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ" โทร 02 655 0405 ในวันและเวลาราชการ
สื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
ภญ. ชไมพร เปรมจิตต์
บริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด โทร. 02 657 5534 หรือ
คุณทิพวรรณ วอทอง
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท เวเบอร์ แชนด์วิค (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 02 257-0300 ต่อ 334 / อีเมลล์: tippwan@webershandwick.com--จบ--
-นท-