ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สำรวจไอศกรีมปี'47 : สินค้ายอดฮิตช่วงหน้าร้อน

ข่าวทั่วไป Wednesday March 17, 2004 10:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 มี.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
ในช่วงฤดูร้อนไอศกรีมเป็นหนึ่งในบรรดาสินค้ายอดฮิตที่มียอดจำหน่ายสูงในช่วงนี้ โดยเฉพาะในปี 2547 ที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะมีช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงกว่าในปีที่ผ่านมา ทำให้คาดหมายว่ามูลค่าของตลาดไอศกรีมจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การส่งออกไอศกรีมก็เป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง โดยในช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้อัตราการขยายตัวของการส่งออกไอศกรีมเติบโตในลักษณะก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งคาดการณ์ว่าการส่งออกไอศกรีมจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจไอศกรีมของไทย คือไทยมีปัจจัยหนุนหลายประการที่จะก้าวขึ้นไปเป็นศูนย์กลางการส่งออกไอศกรีมในภูมิภาคนี้
ปัจจุบันจำนวนโรงงานผลิตไอศกรีมในประเทศไทยที่จดทะเบียนไว้กับกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม มีจำนวน 247 โรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก โรงงานกระจายอยู่ในภาคต่างๆดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 94 โรงงาน ภาคเหนือ 51 โรงงาน กรุงเทพฯและปริมณฑล 42 โรงงาน ภาคใต้ 22 โรงงาน ภาคกลาง 20 โรงงานและภาคตะวันออก 18 โรงงาน กรุงเทพฯเป็นจังหวัดที่มีโรงงานผลิตไอศกรีมมากที่สุดในประเทศ กล่าวคือมีโรงงานไอศกรีมตั้งอยู่ถึง 31 โรงงาน แรงงานในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 4,214 คน จำนวนเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,096 ล้านบาท
อัตราการบริโภคไอศกรีมในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจของประเทศภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ คาดว่าในปี 2546 อัตราการบริโภคไอศกรีมในประเทศไทยเท่ากับ 0.599 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการบริโภคไอศกรีม 0.569 ลิตรต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตามคนไทยไม่ได้บริโภคไอศกรีมเป็นของหวานเป็นประจำ ทำให้อัตราการบริโภคไอศกรีมต่อประชากรของไทยจึงอยู่ในเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบประเทศต่างๆในซีกโลกตะวันตก แม้ว่าในประเทศไทยจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงกว่าในสหรัฐฯและออสเตรเลีย ซึ่งมีอัตราการบริโภคไอศกรีมมากเป็นอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก(สหรัฐฯ 24 ลิตรต่อคนต่อปี และออสเตรเลีย 18 ลิตรต่อคนต่อปี) อย่างไรก็ตามการบริโภคไอศกรีมของคนไทยจะสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนและมีอัตราการบริโภคอยู่ในเกณฑ์ต่ำในช่วงฤดูฝน พฤติกรรมการซื้อไอศกรีมของคนไทยที่น่าสนใจคือ คนไทยตัดสินใจซื้อไอศกรีมโดยอาศัยปัจจัยกระตุ้น (Impulse Basis) โดยไม่ได้เป็นการซื้อที่มีการวางแผนล่วงหน้า(Planned Basis) ดังนั้นทำให้ตลาดไอศกรีมประเภทซื้อกลับบ้านนั้นเติบโตค่อนข้างช้า รวมทั้งการซื้อไอศกรีมประเภทนี้กลับบ้านก็ไม่สะดวกเท่าที่ควรด้วย
คาดว่าตลาดไอศกรีมในปี 2547 จะมีมูลค่าเท่ากับ 9,000 ล้านบาท หรือเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการขยายตัวของตลาดที่อยู่ในเกณฑ์สูง เนื่องจากตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมาอัตราการขยายตัวของตลาดไอศกรีมในประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยร้อยละ 5-7 เท่านั้น โดยแบ่งตลาดดังนี้
1.ไอศกรีมพรีเมี่ยม มูลค่าตลาดประมาณ 900 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ และลูกค้าในประเทศระดับบีบวกขึ้นไป ตลาดไอศกรีมกลุ่มนี้นับว่าเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลบวกอย่างมากในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องราคาจำหน่ายที่อยู่ในเกณฑ์สูง การกระจายฐานการตลาดโดยเฉพาะช่องทางการจำหน่ายยังครอบคลุมผู้บริโภคไม่ทั่วถึง ผู้ประกอบการไอศกรีมในกลุ่มนี้เน้นการขยายสาขา โดยเฉพาะการเปิดสาขาในทำเลที่ใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมาย เมื่อตลาดไอศกรีมเริ่มฟื้นตัวโดยการคาดว่าอัตราการขยายตัวมีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้ประกอบการไอศกรีมพรีเมี่ยมเริ่มเพิ่มการลงทุนเพื่อการพัฒนาการผลิตและการตลาด รวมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆโดยเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งเป็นกลยุทธ์การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงการรุกตลาดซื้อกลับบ้านหรือตลาดเทคโฮม ซึ่งยังเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีผู้นำตลาดที่ชัดเจนในช่องทางจำหน่ายนี้ และยังเป็นการรุกเข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดของไอศกรีมระดับกลางบางส่วนด้วย
2.ไอศกรีมระดับกลาง ในปี 2547 คาดว่ามูลค่าตลาดรวมประมาณ 7,200 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5 ในตลาดนี้มีการแข่งขันที่ดุเดือดเนื่องจากผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดนี้ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ และมีผู้ประกอบการมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งในปีนี้คาดการณ์กันว่าตลาดไอศกรีมจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมาทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายเพิ่มกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นการบริโภค รวมถึงการออกสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มีผู้ประกอบการเริ่มรุกเข้าตลาดเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยการรุกตลาดนั้นเน้นกลยุทธ์การสร้างช่องทางการจำหน่ายและการกระจายสินค้า โดยเฉพาะการกระจายจุดจำหน่ายตู้แช่ การขายโดยอาศัยรถสามล้อ และกลยุทธ์ล่าสุดคือการให้คนแบกเป้ไอศกรีมจำหน่ายในแหล่งชุมชน ทั้งนี้เพื่อเน้นให้สินค้าเข้าถึงมือผู้บริโภคให้มากที่สุด นอกจากนี้ธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดส์บางรายเริ่มหันมาใช้ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟท์หรือไอศกรีมนมบรรจุโคนเป็นสินค้าที่จะดึงให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการในร้านเพิ่มขึ้น โดยการลดราคาไอศกรีมโคนที่จำหน่ายเหลือเพียง 5-7 บาท นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลอย่างมาก ซึ่งเท่ากับว่าผู้ประกอบการในธุรกิจไอศกรีมระดับกลางต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
3.ไอศกรีมระดับล่าง คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดประมาณ 900 ล้านบาท ผู้ประกอบการในตลาดนี้ต้องทำงานหนักมากกว่าในปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการไอศกรีมตลาดกลางรุกคืบเข้าแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยอาศัยคุณภาพ และตรายี่ห้อที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ในขณะที่ตลาดไอศกรีมระดับล่างยังไม่มีผู้นำตลาดที่ชัดเจน นอกจากนี้ไอศกรีมตลาดล่างยังต้องเผชิญกับปัญหาเมื่อทางกระทรวงสาธารณสุขเริ่มเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องคุณภาพของไอศกรีม กล่าวคือทางกระทรวงสาธารณสุขออก ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 222 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานการผลิตไอศกรีมตามประเภทไอศกรีมแต่ละชนิด ทั้งในเรื่องวิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษา ซึ่งเป็นผลให้ทางผู้ประกอบการไอศกรีมระดับล่างต้องมีการปรับตัวอย่างมาก
การฟื้นตัวของตลาดไอศกรีมทำให้ผู้ประกอบการในตลาดไอศกรีมเริ่มมีการปรับกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ดังนี้
1.การเพิ่มงบการประชาสัมพันธ์ให้มีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ซึ่งผู้ประกอบการเน้นการสร้างตรายี่ห้อให้ผู้บริโภคจดจำได้ ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการเน้นการใช้กลยุทธ์นี้ในสาขาต่างจังหวัด เนื่องจากตลาดต่างจังหวัดเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ประกอบการในการขยายฐานผู้บริโภคไอศกรีมที่มีตรายี่ห้อ และกระตุ้นความต้องการบริโภคไอศกรีมของผู้บริโภค รวมทั้งมีการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์การชิงโชคเพื่อเพิ่มความถี่ในการบริโภคไอศกรีม นอกจากนี้เริ่มมีการศึกษาวิจัยพฤติกรรมการบริโภคไอศกรีมของคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการในธุรกิจไอศกรีมพยายามหาช่องทางในการเจาะขยายตลาด โดยอิงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้คนไทยหันมานิยมบริโภคไอศกรีมเป็นของหวานที่บ้านมากขึ้น หรือการเพิ่มจำนวนครัวเรือนที่มีไอศกรีมในตู้เย็นที่บ้านมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้จะเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญที่ช่วยผลักดันยอดจำหน่ายไอศกรีมประเภทซื้อกลับบ้าน เป็นต้น
2.การขยายช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันช่องทางจำหน่ายหลักของตลาดไอศกรีม คือ ตู้แช่ตามร้านค้าทั่วไป ซุปเปอร์มาร์เก็ต และรถสามล้อ โดยมีเป้าหมายเร่งกระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง เพิ่มช่องทางการจำหน่ายโดยการจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกิจการฟาสต์ฟู้ดส์ ร้านจำหน่ายเบเกอรี่ ร้านอาหาร และร้านกาแฟพรีเมี่ยม นอกจากนี้ช่องทางการจำหน่ายไอศกรีมที่น่าสนใจอย่างมากในปัจจุบัน คือ ตลาดไอศกรีมเทกโฮม ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยตลาดนี้จะเป็นการแย่งชิงสัดส่วนตลาดระหว่างไอศกรีมพรีเมี่ยมและไอศกรีมระดับกลาง
3.ออกสินค้าใหม่เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเน้นการผลิตไอศกรีมครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจไอศกรีมมีการศึกษาวิจัยรสนิยมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งมีการยกเลิกการผลิตไอศกรีมบางประเภทที่ไม่ทำรายได้ด้วย นอกจากนี้ ในช่วงฤดูร้อนนี้มีการรุกเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไอศกรีมของนมผสมน้ำผลไม้ ซึ่งเมื่อนำไปแช่แข็งแล้วก็จะเหมือนกับไอศกรีมประเภทเชอเบด และการที่ธุรกิจอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดส์หันมาจำหน่ายไอศกรีมโคนภายในร้านหรือที่รู้จักกันว่า"ไอศกรีมซอฟท์เสริฟท์" โดยมีการลดราคาในบางช่วงเพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในร้าน ทำให้การแข่งขันในวงการไอศกรีมมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น
4.บริษัทผู้ผลิตไอศกรีมเริ่มมีการทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น โดยบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมเริ่มให้ความสนใจในการทำกิจกรรรมทางการตลาดตั้งแต่ในปี 2543 เนื่องจากตลาดไอศกรีมเริ่มฟื้นตัวจากภาวะซบเซาจากสภาพเศรษฐกิจ การแข่งขันในตลาดไอศกรีมเริ่มรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งมีบริษัทรายใหม่ทยอยเข้ามาในตลาด นับว่าเป็นการสร้างสีสันในการแข่งขันในตลาดไอศกรีมเป็นอย่างมาก หลังจากบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมท้องถิ่นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการรุกตลาดของบริษัทต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทผู้ผลิตไอศกรีมท้องถิ่นมีแผนขยายการผลิตและเสริมความแข็งแกร่งในช่องทางการจัดจำหน่ายหลัก โดยเฉพาะร้านค้าย่อย และการขายตรงสู่ผู้บริโภค โดยการกระจายสินค้าให้ทั่วถึง รวมทั้งมีการเพิ่มหน่วยขายย่อย เช่น หน่วยรถสามล้อ รถมอเตอร์ไซค์ ตลอดจนการขยายสาขาโดยใช้กลยุทธ์การให้สัมปทานเขต นับว่ากลยุทธ์ทางการตลาดเหล่านี้เป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเรียกคะแนนนิยมในตรายี่ห้อไอศกรีมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
นอกจากการขยายตัวของตลาดในประเทศแล้ว ผู้ประกอบการไอศกรีม ในประเทศไทยมีการส่งออกไอศกรีมไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วย โดยตลาดส่งออกไอศกรีมนั้นนับว่าเป็นตลาดที่น่าจับตามอง แม้ว่าในปัจจุบันมูลค่าการส่งออกจะยังไม่อยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับสินค้าส่งออกหลักของประเทศ แต่อัตราการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ก้าวกระโดดในช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ กล่าวคือ ในปี 2546 ปริมาณการส่งออกไอศกรีมเท่ากับ 13,848 ตัน มูลค่า 720.76 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2545 ซึ่งมีการส่งออกเพียง 10,473 ตัน มูลค่า 491.83 ล้านบาท แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.2 และ 46.5 ตามลำดับ จากที่เมื่อปี 2540-2543 การส่งออกไอศกรีมนั้นมีมูลค่าเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันไทยส่งออกไอศกรีมไปยังเกือบ 40 ประเทศทั่วโลก ตลาดส่งออกไอศกรีมที่สำคัญของไทย คือ มาเลเซียร้อยละ 50.2 ของมูลค่าการส่งออก รองลงมาคือ สิงคโปร์มีสัดส่วนตลาดร้อยละ 24.5 และไต้หวันร้อยละ 8.4 นอกจากนี้ตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี คือ ออสเตรเลีย บูรไน ฮ่องกง กัมพูชา ลาว และพม่า อย่างไรก็ตามไทยก็ยังมีการนำเข้าไอศกรีม ซึ่งเป็นไอศกรีมที่มีราคาอยู่ในเกณฑ์สูงเพื่อตอบสนองตลาดลูกค้าระดับพรีเมี่ยม แต่อัตราการขยายตัวของการนำเข้านั้นนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการส่งออก กล่าวคือ ในปี 2546 ปริมาณการนำเข้าไอศกรีมเท่ากับ 717 ตัน มูลค่า 74.13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2545 ปริมาณการนำเข้าเท่ากับ 546 ตัน มูลค่า 64.56 ล้านบาทแล้ว ทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.3 และ 14.8 ตามลำดับ แหล่งนำเข้าหลักของไทย คือ อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และแคนาดา
คาดว่าในอนาคตการส่งออกไอศกรีมมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่มีนักลงทุนหลายรายจะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตไอศกรีมในประเทศไทย และมีแผนที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกไอศกรีมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจัยเกื้อหนุนการส่งออกไอศกรีมมีดังนี้
1.ไทยมีจุดแข็งในแง่ของวัตถุดิบ คือการใช้ผลไม้ท้องถิ่นมาผลิตไอศกรีม ทำให้รสชาติไอศกรีมของไทยมีเอกลักษณ์ที่สามารถนำมาเป็นจุดขายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้จากการศึกษาของผู้ที่ต้องการเข้ามาลงทุนผลิตไอศกรีมในประเทศไทย ยังพบว่าไทยนั้นมีความได้เปรียบในแง่ต้นทุนการผลิตต่ำ และมีความได้เปรียบในเรื่องเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ ซึ่งทำให้การใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตเพื่อการส่งออกนั้นมีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเร่งดำเนินการคือ พัฒนาตรายี่ห้อของสินค้าให้เป็นที่รู้จักในตลาดส่งออก ประเด็นที่ควรพิจารณาด้วยคือโอกาสในการส่งออกไอศกรีมของไทยสำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากต่างประเทศจะมีความได้เปรียบ โดยเน้นให้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังผู้ประกอบการที่ซื้อแฟรนไชส์ในประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการมองตลาดในภาพรวมที่มีประชากรรวมกัน 400 ล้านคน ตลาดส่งออกไอศกรีมที่น่าสนใจ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
2.การพัฒนาในเรื่องคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนคือ การที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวงฯเพื่อปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพการผลิตไอศกรีม ผลก็คือจะเป็นใบเบิกทางอย่างดีสำหรับการขยายการส่งออกในอนาคต
3.ปัจจุบันกำลังการผลิตไอศกรีมยังมากเกินกว่าความต้องการของตลาดในประเทศ ซึ่งจากการสำรวจของผู้ประกอบการในธุรกิจไอศกรีมพบว่ากำลังการผลิตไอศกรีมของไทยมีมากกว่าความต้องการ ซึ่งเท่ากับว่าไทยมีกำลังการผลิตเพียงพอที่จะขยายตลาดส่งออก
4.มีนักลงทุนสนใจที่จะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตไอศกรีมขึ้นในประเทศไทย ปัญหาการเข้ามาตั้งโรงงานผลิตไอศกรีมในประเทศไทย คือปริมาณผลิตภัณฑ์นมซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไอศกรีมยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ และการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมเพื่อผลิตไอศกรีมก็มีผลทำให้ต้นทุนการผลิตไอศกรีมอยู่ในเกณฑ์สูง โอกาสในการแข่งขันในตลาดส่งออกลดลง อย่างไรก็ตามจากผลการพัฒนาและส่งเสริมกิจการโคนมของไทย รวมทั้งการที่ไทยต้องเปิดเสรีการค้าผลิตภัณฑ์นม ทำให้คาดว่าปริมาณผลิตภัณฑ์นมในประเทศจะมีมากขึ้นและราคาน่าจะลดลงทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะมีการตั้งโรงงานผลิตไอศกรีมเพื่อการส่งออก นับว่าเป็นแนวทางส่งเสริมการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกไอศกรีมของภูมิภาคนี้
ตลาดไอศกรีมในประเทศไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงก็ตาม เนื่องจากเมื่อเทียบปริมาณการบริโภคไอศกรีมต่อคนต่อปีของคนไทยกับต่างประเทศแล้วอัตราการบริโภคของคนไทยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก กล่าวคือ คนไทยบริโภคไอศกรีมเพียง 0.599 ลิตรต่อคนต่อปี ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียมีอัตราการบริโภค 3 ลิตรต่อคนต่อปี ญี่ปุ่น 7 ลิตรต่อคนต่อปี ออสเตรเลีย 18 ลิตรต่อคนต่อปี และสหรัฐฯ 24 ลิตรต่อคนต่อปี นอกจากนี้ธุรกิจไอศกรีมในประเทศไทยยังมีช่องว่างทางการตลาดเปิดกว้าง โดยเฉพาะตลาดไอศกรีมในต่างจังหวัด ซึ่งเมื่อทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเข้มงวดในเรื่องสุขอนามัยไอศกรีมที่จำหน่ายในท้องตลาด คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการไอศกรีม โดยเฉพาะไอศกรีมในท้องถิ่นต้องมีการปรับตัวกันอย่างขนานใหญ่ และผู้ที่ปรับตัวไม่ได้ รวมทั้งมีต้นทุนสูงขึ้นไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ก็คงต้องเลิกกิจการไป ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างของตลาดไอศกรีมที่ทำให้ผู้ผลิตไอศกรีมที่มีการผลิตที่ได้ มาตรฐานแทรกตัวเข้าไปครอบครองตลาดเหล่านี้ได้มากขึ้น ส่วนในตลาดส่งออกนั้นไทยมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการในการที่จะก้าวขึ้นไปเป็นศูนย์กลางการผลิตไอศกรีมในภูมิภาคนี้ในอนาคต เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่เพียงพอ มีวัตถุดิบหลากหลาย ต้นทุนการผลิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำ รวมทั้งประเทศในแถบนี้ยังมีความต้องการบริโภคไอศกรีมเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับว่ามีตลาดรองรับอยู่แล้ว ทำให้มีนักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตไอศกรีมในประเทศไทย และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้--จบ--
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ