กรุงเทพฯ--17 มี.ค.--บีโอไอ
รัฐมนตรีพินิจฯ เดินหน้างานส่งเสริมการลงทุนของคนไทย ระดมผู้ว่าฯ ซีอีโอ และหน่วยงานภาครัฐ-เอกชนร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนที่สอดคล้องกับศักยภาพของ 19 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างครบวงจร
นายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการประชุมหารือเรื่อง "การประสานแลเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน" ในวันพรุ่งนี้ (18 มีนาคม 2547) ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชา ออคิด ขอนแก่น จ.ขอนแก่น ร่วมกับนายสมพงษ์ วนาภา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การลงทุนในกลุ่ม่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อที่บีโอไอและกระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพการลงทุนของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงการกำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจ SMEs และวิสาหกิจชุมชนในรูปแบบที่สามารถปฏิบัติได้จริงและนำไปสู่ผลสำเร็จ
"เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมและบีโอไอได้หารือเรื่องยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือมาแล้ว ผลที่เกิดในตอนนี้คือ มีการตื่นตัวในการขอรับการส่งเสริมมากขึ้น โดยขณะนี้ทางกลุ่มสมาชิกสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้วจำนวน 3 ราย และยังมีอีกประมาณ 10 ราย ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ ครั้งนี้จึงมาหารือกับผู้ว่าฯ ซีอีโอ ตลอดจนภาครัฐและเอกชนในภาคอีสาน เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ และปรับปรุงเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีให้แก่ภาคอีสาน ทั้งนี้เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนของคนไทยเป็นไปอย่างมีทิศทางและมีแผนงานที่ชัดเจน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
สำหรับภาพรวมการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอตั้งแต่ปี 2541-2546 นั้น มีมูลค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 12,866 ล้านบาท คิดเป็นการลงทุนประมาณ 5% ของการลงทุนทั้งประเทศ นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากแต่ยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มการลงทุนได้อีกมาก โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุดคือ เกษตรและเกษตรแปรรูป รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนน้อยคือ เหมืองแร่ และเซรามิกส์ เคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก
สำหรับคลัสเตอร์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือแบ่งพื้นที่ตามเขตออกเป็น 5 คลัสเตอร์ และได้กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาสินค้าโอท็อป เขตนิคมอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมสนับสนุน
ด้วยนายสมพงษ์ วนาภา เลขาธิการบีโอไอกล่าวว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอในปัจจุบันมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้มากชึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างผู้ประกอบการใหม่ การพัฒนาเอสเอ็มอีในด้านทักษะ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการนำเทคนิคและวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาใช้ ให้เป็น "Smart SMEs" รวมทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่วิสาหกิจชุมชน
"ขณะนี้บีโอไอได้ปรับลดเงื่อนไขการให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจกรรมขนาดเล็กของคนไทยใน 2 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ เกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ จากเดิมที่กำหนดวงเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทมาเป็นไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท และจูงใจด้วยการไม่จำกัดวงเงินการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบไม่จำกัดวงเงินเป็นเวลา 8 ปี ไม่ว่าจะตั้งอยู่เขตใด ได้รับการยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ ซึ่งการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากการลงทุนนี้ เป็นการยกระดับให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้" นายสมพงษ์กล่าว--จบ--
-กภ-