(ต่อ2): ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เสนอภาพยนตร์ The Passion of the Christ

ข่าวทั่วไป Wednesday March 24, 2004 14:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 มี.ค.--ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
กรุงเยรูซาเล็มศตวรรษแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 21: การสร้างฉาก
เมื่อนักแสดงพร้อม ทีมงานสร้างก็ค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมจะถอดแบบให้ดูเหมือนและให้ความรู้สึกของเมืองโบราณอย่างกรุงเยรูซาเล็ม อีกทั้งความแห้งแล้งที่ล้อมรอบทะเลทราบจูเดียนในยุคของพระเยซูคริสต์ พวกเขาเที่ยวได้สืบเสาะจากโมรอคโค ตูนิเซีย ไปถึงนิวเม็กซิโกและประเทศสเปนแต่ในการที่จะต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งนั้นเป็นไปได้ยาก และในที่สุด กิบสันก็ตกลงว่ากรุงโรมนั้นเป็นที่เหมาะสมโดยมีข้อได้เปรียบถึงสองอย่างคือ 1) สตูดิโอซิเนซิต้าเป็นโรงถ่ายภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงในด้านช่างฝีมือในการสร้างฉาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ 2) ในละแวกเดียวกันนั้นมีเมืองเก่าแก่อายุกว่า 2000 ปี อย่างเมืองเมเธอร่า ซึ่งเป็นเมืองที่สวยงามละลานตาเต็มไปด้วยทิวทัศน์ของแนวก้อนหินซึ่งอยู่ ในเขตบาซิลิคาต้า ทำให้เขาจิตนาการได้ถึงกรุงเยรูซาเล็มและเมืองนี้ ปาโสลินีก็เคยเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำสำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Gospel According to St. Matthew
ผู้ออกแบบฉากชาวอิตาเลี่ยนอย่าง ฟรานเชสโก้ ฟริเจอรี่ (เรื่อง Melena) นั้นได้ร่วมงานกับกิบสันอย่างใกล้ชิด และผู้ตกแต่งฉากอย่าง คาร์โล เจอร์วาซีที่ได้รับมอบหมายในการออกแบบฉากโบสถ์โบราณที่กว้างใหญ่ และลานพิพากษา และพระราชวังของปิลาต กรุงเยรูซาเล็มในช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์นั้นเป็นเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล อยู่ท่ามกลางวงล้อมของทิวเขารวมทั้งตลาดที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ป้อมปราการ สะพานที่ทอดยาวและอนุสาวรีย์อยู่มากมาย ไม่มีสถานที่ที่จะมีสิ่งเหล่าอีกแล้วในยุคสมัยนี้ (ถูกทำลายใน ช่วง คริสตศักราชที่ 70 โดยพวกโรมัน มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่จากโบสถ์อันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ เฮโรดก็คือ กำแพงส่วนตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็มในยุคปัจจุบัน) และภายในเวลาเพียง 10 อาทิตย์ ฟริเกอรี่ก็ได้ออกแบบสร้างฉากขึ้นมาจากความว่างเปล่าบนพื้นที่ กว่า 2-1/2 เอเคอร์ ในส่วนด้านหลังของสตูดิโอซิเนซิต้า โดยใช้ทิวเขาของเมเธอร่าและก้อนหินที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินเป็นฉากหลัง
จากการค้นคว้าวิจัย กรุงเยรูซาเล็มที่เป็นปึกแผ่นในคำบอกเล่าฟริเกอรี่ นั้นคือเมืองอันเป็นที่ผสมผสานของอิทธิพลจากอาณาจักรโรมันถึงฮิโรเดียน สถานที่ของหอสูงและเสาหิน บันไดอิฐทอดแนวยาวและทางเดินที่มีร้านค้าแบบโรมัน รวมทั้งบ้านเรือนที่สร้างขึ้นมาจากหินปูน ตลาดนัดขายของตามถนนใหญ่น้อย ด้วยพื้นที่ค้อนข้างกว้างขวางและสิ่งอำนวยความสะดวกในการสร้างฉากทำให้สตูดิโอซิเนซิตต้านับเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในโลกที่จะสามารถเนรมิตเมืองทั้งเมืองขึ้นมาได้ - อันที่จริงแล้วก่อนที่เมล กิบสันจะสร้างกรุงเยรูซาเล็มในยุคต้น ขึ้นที่ ซิเนซิตต้านั้น มาร์ติน สกอร์เซส ได้สร้างฉากเมืองนิวยอร์คในศตวรรษที่ 19 เพื่อใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Gangs of New York -ขึ้นที่นี่ และในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่เมือง มาเธอร่า ทีมงานสร้างก็ได้สร้างกำแพงสูงเพื่อรายล้อมกรุงเยรูซาเล็มขึ้นเพื่อใช้เป็นฉากถ่ายทำพระเยซูคริสต์ในวัยเยาว์และฉากตรึงกางเขนที่เขา กัลโกธา
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับภาพที่จะออกมาในภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ นั้นคืองานที่เลื่องชื่อของตากล้องที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลออสการ์มาแล้วถึงสี่ครั้งอย่าง คาเล็บ เดสชาเนล ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมงานกับเมล กับสันมาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง The Patriot โดยเขาได้ใช้เวลานานในการปรึกษากับผู้กำกับเพื่อภาพที่ออกมาในหนัง เขาดูภาพวาดของ คาราเวจจิโอ ซึ่งเป็นศิลปินในยุคเรเนซองเพื่อให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจ
ความฟุ่มเฟือยในการใช้แสงของคาราเวจจิโอ ความเป็นจริงที่สัมผัสได้และการเปลี่ยนหัวข้อของแสงและความกระจ่างแจ้งด้วยจิตวิญญาณเป็นการปฏิวัติภาพเขียนทางศาสนาในศตวรรษที่ 17 โดยปลดปล่อยจากความนึกฝันทางศาสนาที่ประสบมา ตัวกิบสันเช่นกัน เขาต้องการจะทำให้ทำลายแม่พิมพ์ของความรู้สึกที่ล้อมรอบเรื่อง The Passion อยู่ เขาได้เห็นความเฉียบในสไตล์ของคาราเวจจิโอว่าเหมาะสมกับการดำเนินและเล่าเรื่องของหนัง กิบสันพูดถึงคาราเวจจิโอว่า "ผมคิดว่างานของเขาเป็นงานที่สวยงาม" กิบสันกล่าวถึงคาราวาจิโอ "มันแสดงให้เห็นความรุนแรง มันมีความมืด มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และมันยังมีความแปลกพิกลอยู่ในนั้นด้วย"
เดสชาเนลรู้สึกท้าทาย ที่ได้ถ่ายทำกว่าครึ่งหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนกลางคืนหรือในที่มืดเพื่อให้บรรลุถึงความสว่างซึ่งหาหนทางออกจากความมืด ผู้อำนวยการสร้างอย่าง สตีฟ แม๊คอีวิตี้ ให้ความเห็นว่า "คาเล็บทำทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่เสมอ เหมือนอย่างที่เมลทำ และงานของเขาก็มีโครงสร้างและความน่าทึ่งในคุณภาพที่จะจับรายละเอียดทุกอย่างที่เราอยากได้" มันออกมาได้ดีมากถึงขนาดที่เมื่อได้เห็นครั้งแรกนั้น กิบสันถึงกับอุทานว่า "คาเล็บได้สร้างคาราเวจจิโอที่เคลื่อนไหวได้"
ดีไซน์เนอร์ที่ได้รับรางวัลอย่าง มอริซิโน มิเลนโนตติ - ผู้ที่ผ่านการทำงานกับหลากหลายผู้กำกับตั้งแต่ เฟลินี่ และ เซฟฟิเรลลี่ จนถึง ทอร์นาทอร์ - ก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดของคาราเวจจิโอ ที่ใช้ความฟุ่มเฟือยและความแตกต่างของสีเบจ สีน้ำตาลและสีดำ ตัวเขายังได้ทำการค้นคว้าวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง และแตกต่างกันในการออกเครื่องแต่งกายไปในยุคต้นของเยรูซาเล็ม เสื้อผ้าของผู้คนชาวเยรูซาเล็มในเสื้อคลุมจากเส้นใยที่เป็นธรรมชาติ หมวกคลุมผม เสื้อคลุมและรองเท้าแตะ ในขณะที่ทหารชาวโรมันประดับประดาไปด้วยแผ่นเกราะเหล็กหล่อที่หน้าอกและเครื่องประดับศีรษะ
เพิ่มเติมเข้าไปจากรายละเอียดของเสื้อผ้าของมิเลนโนตติ คืองานแต่งหน้าเทคนิคพิเศษและทีมงานช่างผมซึ่งนำทีมโดย คีธ แวนเดอแลนและเกร็ก เคนนอม ผู้ซึ่งได้รับรางวัลตุ๊กตาทองถึงสองรางวัลทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลออสการ์ถึงหกครั้ง (ผู้ซึ่งผลงานที่ผ่านมารวมไปถึง ภาพยนตร์ A Beautiful Mind และเรื่อง Pirates of the Caribbean) กิบสันได้นำคนคู่นี้และทีมงานมาที่อิตาลีเพราะเขาตระหนักดีว่าเขาต้องการทีมงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแต่งหน้าที่ดีที่สุดในโลกเพื่อสร้างความเหมือนจริงทางร่างกายที่เขาต้องการ
จิม คาวิเซล ใช้เวลาตรากตรำ 4 ถึง 8 ชั่วโมงในแต่ละวันที่โต๊ะแต่งหน้าตอนที่เขาจะต้องเปลี่ยนตัวเองด้วยผมปลอมแบบไฮเทคและผิวหนังเทียม สำหรับฉากที่พระเยซูคริสต์ถูกทรมนและถูกตรึงกางเขนนั้นการแต่งหน้าต้องมากขึ้นเพราะที่ใบหน้าของคาวิเซลจะต้องมีรอยแตกแขนงของความรุนแรงและร่องรอยบาดแผลขึ้นเป็นลำดับ คีธ แวนเดอร์แลนได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์ที่ถูกตรึงกางเขนซึ่งในทางการแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าจะต้องมีการสูญเสียเลือดและทุกข์ทรมานจากการขาดอากาศหายใจมากกว่าทรมานจากอาการอื่น ๆ ที่จริงแล้วนั้น คำว่า "ความทรมาน" นั้น ได้มาจากความทุกข์ทรมานที่มาจากการถูกตรึงกางเขน
ทีมงานแต่งหน้าพิเศษมีวิธีที่จะทำให้เห็นการที่ตะปูได้ถูกตอกเข้าไปในอุ้งมือของพระเยซูคริสต์และทำให้เห็นผิวหนังที่หลังของพระองค์ที่ถูกถลกจากการโบยตี การที่จะทำให้บาดแผลที่เห็นเป็นเหมือนจริงทีมงานแต่งหน้าต้องใช้เทคนิคการสักที่หลังของคาวิเซลวันต่อวันจนกระทั่งเห็นเป็นแนวเฆี่ยนและแผลแหวอะหวะ และที่สุด แวนเดอแลนยังได้ทำแสตนอินยางปลอมขึ้นเพื่อทำให้คาวิเซลสามารถทนแขวนอยู่บนกางเขนได้เวลาที่กล้องถ่ายในมุมกว้าง ทำให้ร่างกายของเขาได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง
สตีฟ แม๊คอีวิตี้ได้สรุปว่า "ในตอนท้ายสุด หนังเรื่องนี้ออกมาได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเราคิดหวังกันเอาไว้ และนี่คงจะเป็นผลจากความศรัทธาอย่างแรงกล้าของผู้คนมากมายที่ร่วมงานในโครงการนี้ ไม่มีใครเลยที่เกี่ยวข้องจะไม่ทุ่มเทสุดหัวใจและจิตวิญญาณให้กับการทำงานหนังเรื่องนี้ มันนับว่าเป็นการรวบรวมความสำเร็จเอาจริง ๆ " สำหรับกิบสันนั้นนอกจากหนังเรื่องนี้เป็นการรวบรวมความสำเร็จแล้วเขาหวังว่ามันจะเป็นหนึ่งเดียวและเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ผู้ชมจะเก็บเอาไว้ไม่ว่าภูมิหลังของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร กิบสันให้ความเห็นว่า "สิ่งหนึ่งที่ผมหวังมากที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ เมื่อผู้ชมดูหนังเรื่องนี้จนจบแล้ว พวกเขาจะเดินออกไปด้วยแรงบันดาลใจให้ตั้งคำถามกันมากยิ่งขึ้น"
The Passion of the Christ
นักแสดง
เจมส์ คาวิเซล (พระเยซูคริสต์) เกิดและโตในแคว้นสกากิตต์ เมือง วอชิงตัน ครอบครัวคาวิเซลเป็นครอบครัวนักกีฬา และเริ่มแรกนั้นเจมส์ก็หันเข้าหาการกีฬาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเบสบอล จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บที่เท้าทำให้เขาเริ่มหันเหความสนใจในด้านอื่น การแสดงแรกของเขาเป็นละครตอนที่เขาเรียนโดยดัดแปลงมาจากเพลงของ แฟรงค์ ซิเนตร้า ชื่อ Come Blow Your Horn ในช่วงต้นปี 1980 นั้นเขาได้ย้ายเข้ามาที่ ลอส เองเจลลิส เพื่อทำงานเป็นพนักงานเสริฟและใช้เวลาในการคัดตัวไปด้วย
เขาได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในรายการทีวียอดฮิตอย่างเรื่อง Murder, She Wrote และเรื่อง The Wonder Years เขาได้ใช้วิธีพูดกรุยทางสู่วงการภาพยนตร์ในบทพนักงานจองตั๋วเครื่องบิน ในหนังของ กัส แวน เซยท์ เรื่อง My Own Private Idaho (ปี 1991) โดยแสร้งทำเป็นชาวอิตาเลียนอพยพด้วยการออกเสียงที่หนักแน่น เขายังได้รับบทในภาพยนตร์เรื่อง Diggstown ( ปี 1992) หนังของ ลอว์เรนซ์ แคสเดน เรื่อง Wyatt Earp (ปี 1994) และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในบทของ "สโลฟ" หรือ สโลฟนิค ในภาพยนตร์เรื่อง G.I. Jane (ปี 1997) เขาก็ได้เริ่มเข้าฉากมากขึ้นโดยรับบทสนิทสนมและแสดงร่วมกับเดมี่ มัวร์
อย่างไรก็ตามบทที่ฉีกแนวออกไปของเขาคือบทที่ได้รับเกี่ยวกับทหาร คือพลทหารวิทท์ ผู้เซื่องซึมในภาพยนตร์ของ เทอเรซ มาลิค เรื่องThe Thin Red Line (ปี 1998) ที่เขาได้ร่วมเล่นกับดาราอย่าง ฌอน เพนน์ นิค โนลเต้ และเอเดรี่ยน โบรดี้ ความสามารถที่เห็นได้ในการที่ผสมผสานความใคร่ครวญของจิตวิญญาณกับร่างกายและการแสดงออกเริ่มเห็นได้เด่นชัดในอีกหลายปีต่อมาในงานของเขาอย่างเช่น ภาพยนตร์ของ อัง ลี เกี่ยวกับสงครามกลางเมือง ของตะวันตกเรื่อง " Ride with the Devil" (ปี 1999) และในภาพยนตร์ของเกรเกอรี่ โฮบิท เกี่ยวกับเรื่องการประดิษฐ์เครื่องเปลี่ยนแปลงเวลา เรื่อง Frequency (ปี 2000) ซึ่งเขาได้เล่นเป็นลูกชายเจ้าปัญหาที่เดินทางไปมาระหว่างช่วงสองทศวรรษกับพ่อซึ่งสิ้นชีวิตไปนานแล้ว (เดเนียล เควด) ในปี 2001 เขาได้แสดงกับเจนนิเฟอร์ โลเปซ ในเรื่อง Angel Eyes ซึ่งกำกับโย ลูอิส แมนโดคิ เขาได้รับความนิยมสูงขึ้นโดยได้รับการชักชวนให้เล่นหนังเอ็ดมอนด์ ดังเต้ ในหนังจากการดัดแปลงของ เควิน เรย์โนลด์
เรื่องคลาสิคของเล็กซานเดอร์ ดูมาส เรื่อง The Count of Monte Cristo ( ปี 2002) และ ฮีโร่จากสงครามที่โดนกล่าวหาว่าฆ่าคนตายในหนังของ คาร์ล แฟรงคลิน เป็นเรื่องดราม่าที่เกิดขึ้นในศาลอย่างเรื่อง High Crime (ปี 2002) โดยแสดงร่วมกับ มอร์แกน ฟรีแมนและแอชลี่ย์ จัดด์
มันอาจจะกล่าวได้ว่าบทบาทที่คาวิเซลได้รับในภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ นั้น เป็นการที่เขาในฐานะนักแสดงต้องเตรียมร่างกายและอารมณ์ไปพร้อม ๆ กัน ตัวเขานั้นได้รับเลือกให้เล่นบทนี้เพราะเขาเองยินยอมที่จะเข้าร่วมกับโครงการพิเศษนี้อย่างเต็มอกเต็มใจ ก่อนที่จะถ่ายทำนั้น คาวิเซลได้ใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนเตรียมตัวเอง ทางด้านร่างกาย อารมณ์และจิตวิญญาณสำหรับบทบาทที่เขาต้องทุ่มเทมากที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขา มันเป็นการเรียนรู้ภาษาอารามิคอย่างกระท่อนกระแท่น ซึ่งเป็นภาษาที่พระเยซูคริสต์พูดในยุคนั้น และระหว่างการถ่ายทำเขาต้องอดทนกับการตกแต่งทั่วทั้งร่างกายซึ่งบางครั้งกินเวลายาวนานกว่าสิบชั่วโมง เขายังต้องใช้เวลาถ่ายทำหลาย ๆ วันอยู่บนไม้กางเขนในอุณหภูมิที่เยือกแข็งและในช่วงที่ต้องถ่ายทำฉากต่อสู้และถูกโบยตีที่สตูดิโอซิเนซิตต้านั้นหัวไหล่ข้างหนึ่งของเขาหลุดด้วย แต่คาวิเซลรู้สึกด้วยประสบการณ์ที่ทำให้เขาเชื่อว่ามีใครคนหนึ่งกำลังมองเฝ้าเขาอยู่ ความรู้สึกที่ว่านี้เกิดขึ้นเมื่อตัวเขาโดนฟ้าผ่าในขณะถ่ายทำฉากที่กัลโกธา แต่เขากลับลุกขึ้นแล้วเดินหนีได้
ในปี 2004 เจมส์ คาวิเซลยังได้ร่วมแสดงกับโรบิน วิลเลี่ยมส์และมิร่า ซอร์วิโน่ในภาพยนตร์ของโอมา นาอิม เรื่อง Final Cut และร่วมกับ แคลร์ ฟอร์ล่านี่และเจอร่ามี่ นอร์ธัม ในภาพยนตร์ของ ราวดี้ แฮริงตัน เรื่อง Stroke of Genius
ไมอา มอร์เกนสเติร์น (มารี) คือนักแสดงละครหญิง ชาวโรมาเนียที่ศึกษาการแสดงจากสถาบันที่มีชื่อเสียงทางด้านภาพยนตร์และการละครในกรุงบูคาเรส เธอเองยังเป็นสมาชิกขององค์กรละครของชาวโรมาเนียที่แสดงละครเก่า ๆ คือ โรงละครแห่งชาติ Piatra Neamt National Teatre (ช่วงปี 1985 - 1988) โรงละคร State Jewish Theatre (ช่วงปี 1988 - 1990) และ โรงละครแห่งชาติ (ช่วงปี 1990 ถึงปัจจุบัน) เธอได้รับรางวัลยิ่งใหญ่สำหรับงานการแสดงละครของเธอ คือรางวัล Star of Tomorrow ในปี 1992 และ รางวัล Fellix ในฐานะนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในปี 1993 ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการภาพยนตร์ในปี 1983 ในภาพยนตร์ของ มารีอา คาลาส เรื่อง Dinescu's Prea cald pentru luna mai เธอยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โรมาเนียถึง สิบสองเรื่องและร่วมแสดงในหนังที่สร้างโดยต่างประเทศรวมถึงภาพยนตร์ของโรเจอร์ คริสเตียน เรื่อง Nostradamus (ปี 1994) เรื่อง The Seventh Room of Marta Meszaros (ปี 1995) และภาพยนตร์ของ Theo Angelopoulos เรื่อง Ulysses' Gaze (ปี 1995) ซึ่งเธอได้ร่วมแสดงกับฮาร์วี่ ไคเธล มอร์เกนสเติร์น ยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์พิเศษของโจ ชาเพล เรื่อง Dark Prince: The True Story of Dracula (ปี 2000) มอร์เกนสเติร์นนั้นเชื่อว่าเธอได้ร่วมเล่นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดก่อนหน้าที่จะมาเล่นภาพยนตร์เรื่อง The Passion of the Christ ในภาพยนตร์ของ ลูเซียน ปินเทล เรื่อง บาลันต้า (เรื่อง The Oak Tree ปี 1992) และของ ยาโนส ซาอัส เรื่อง Witman Fiuk (เรื่อง The Witman Boys ในปี 1997)
โมนิก้า เบลุคชี่ (มารีอา มัคดาลีนา) เธอได้เริ่มเป็นจุดสนใจของทั่วโลกในสหรัฐอเมริกาจากการแสดงของเธอในบท มาลลีน่า หม้ายสาวสวยที่ทำให้หมู่บ้านเล็ก ๆ ของอิตาลีและเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในภาพยนตร์เรื่อง Malena ของ กิโอเซป ทอร์นาดอร์ และจากจุดนั้นเอง เมลุคชี่ก็ได้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงของทวีปยุโรปมานานหลายปี ความสวยงามของเธอและความสามารถในด้านการแสดงทำให้เธอมีโด่งดัง อันที่จริงแล้วเธอได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญญลักษณ์ของผู้หญิงก่อนที่เธอจะเริ่มอาชีพการแสดง ซึ่งเธอได้เริ่มอาชีพที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นนางแบบในขณะที่เธอยังเป็นนักเรียนกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยแห่งเปรูเกีย หนังโฆษณาที่เธอเล่นขาวดำทางโทรทัศน์ให้กับ ดอลเช่ แอนด์ กาบาน่า ทำให้เกิดกระแสตอบรับจากทั่วโลก
ในปี 1990 ผู้สร้างและผู้กำกับการแสดงอย่าง ดีโน่ ริซี่ ได้เสนอ เบลุคชี่ให้รับบทนำในภาพยนตร์ซีรีส์ทางโทรทัศน์ของอิตาลีเรื่อง Vita Coi Figli (Life With Sons) โดยเล่นคู่กับ เจียนคาร์โล เจียนนีนี่ เธอได้เริ่มงานภาพยนตร์ในเรื่องของ ฟรานเชสโก้ ลอดาดิโอ้ เรื่อง La Riffa (ปี 1991) และจากนั้นเธอก็ไม่ค่อยได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น "นางแบบที่มาเป็นนักแสดง" อีกต่อไป การแสดงของเธอในปี 1996 ในภาพยนตร์ฝรั่งเศสแนวสยองขวัญเรื่อง The Apartment (ปี 1996) ทำให้เธอเป็นดาราอย่างเต็มตัวและทำให้เธอได้รับการเสนอให้รับรางวัลซีซ่าร์ ซึ่งในประเทศฝรั่งเศสนั้นเทียบเท่ากับรางวัลตุ๊กตาทองเลยทีเดียว
ตั้งแต่เริ่มแรก โมนิก้า เบลุคชี่ ก็เป็นที่สะดุดตาของนักสร้างภาพยนตร์ต่างชาติหลายคน ฟราสซิส ฟอร์ด คอปเปลล่า มอบบทเล็ก ๆ ให้กับเธอเป็นเจ้าสาวที่ถูกล่อลวงของแดรกคิวล่า ในเรื่อง Bram Stoker's Dracula (ปี 1992) เธอยังได้ร่วมแสดงกับ ยีน แฮคแมนและมอร์แกน ฟรีแมนในภาพยนตร์ของสตีเฟน ฮอบกินส์ เรื่อง Under Suspicion (ปี 2000) และในภาพยนตร์สงคราม เกี่ยวกับความน่ากลัวเรื่อง Le Pacte des Loups (หรือเรื่อง Brotherhood of the Wolf) สร้างโดย ลุค เบสสัน เธอนั้นได้ทำให้เกิดจุดของการเพิกเฉยของความแตกต่างในงานศิลปะและงานเพื่อทำเงินสำหรับนักแสดง โดยในปี 2003 เธอได้แสดงในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องของ แกสเปอร์ โนเอ้ ในเรื่อง Irreversible (ปี 2003) และแสดงคู่กับ บรูซ วิลลิสในภาพยนตร์แอ๊คชั่นผจญภัยของ อันตวน ฟูควาเรื่อง Tears of the Sun
โมนิก้า เบลุคชี่ เริ่มได้รับการยอมรับให้เป็นเหมือนรูปสัญลักษณ์ ในปี 2003 ในบทบาทที่เธอเล่นเป็นหุ่นเทพเจ้า เพอเรสโฟนในภาพยนตร์ของ พี่น้องวาโชสกี้ เรื่อง Matrix Reloaded และเรื่อง The Matrix Revolutions เธอยังจะร่วมเล่นในภาพยนตร์เด่นอีกคือเรื่อง She Hates Me และเรื่อง The Brothers Grimm
แมทเธีย สบราเกีย (เคฟาส หัวหน้าพระสงฆ์) เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับความยกย่องจากชาวอิตาเลี่ยน เขาได้เล่นภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์และละครเวทีมาเป็นเวลากว่า 30 ปี เขาได้เริ่มงานแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1974 ในหนังของ ฟรานโก้ โรเซตตี้ เรื่อง Nopoti Miei Diletti (ปี1974) และเขาก็ได้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้กำกับชั้นนำชาวอิตาเลี่ยนหลายต่อหลายคนโดยได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ โทนิโน คาร์วี เรื่อง Ritratto Di Borghesia In Nero (ปี 1977) ภาพยนตร์ของ มัวโร โบโลกินี่ เรื่อง La Dame Aux Camelias (ปี 1981) ร่วมกับ อิสซาแบล ฮับเพริดท์ และ ปูพี้ อวาติ เรื่อง Storia di Ragazzi E Di ragazze (ปี 1989) และนี่เป็นเพียงส่วนน้อย เขานั้นยังได้ร่วมแสดงกับทีมงานภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นกับ จอห์น แฟรงเก็นไฮเมอร์ เรื่อง The Year of the Gun (ปี 1991) กับ นอร์แมน จิววิสัน ในเรื่อง Only You และกับ เจมส์ ไอเวอรี่ ในเรื่อง The Golden Bowl (ปี 1999)
ผลงานการแสดงเรื่องล่าสุดของสบราเกียคือภาพยนตร์ของ ทอม ทิคเวอร์ เรื่อง Heaven (ปี 2001) และภาพยนตร์ของ ไบรอัน เฮลจแลนด์ เรื่อง The Order (ปี 2003) เขายังมีผลงานการแสดงทางโทรทัศน์อย่างสม่ำเสมอและในทีมงานสร้างอาทิเช่นของ ดามิอาโน เดเมียนนี่เรื่อง MOW Lenin: The Train (ปี 1990) กับเบน คิงสลี่ย์และโฮเซ่ ดายันในภาคปี 1998 เรื่อง The Count of Monte Cristo กับ เจอราร์ด เดอพาร์ดิโอ กับงานละครเวทีนั้นเขาได้รับบทเด่นในงานสร้างเรื่อง The Tempest เรื่อง Orestes เรื่อง Faust และเรื่อง The Lliad เขายังได้เป็นผู้กำกับละครเวทีที่มีชื่อเสียงที่ได้สร้างละครที่ประสบความสำเร็จในด้านการละครของโรมัน เรื่อง Madame Bovary เรื่อง Padrone Del Mondo เรื่อง La Poltrona และเรื่อง Ore Rubate
ริสโต้ โนวมอฟ โชวพอฟ (ปอนเตียส ปิลาต) เขาสืบเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากครอบครัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงชาวบัลกาเรีย เป็นลูกชายของนักแสดงชื่อดังนาโอม โชพอฟ ผู้ซึ่งได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากในยุคที่ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1950 หลังจากได้เริ่มงานการแสดงในปี 1981 ในภาพยนตร์ของ ดีเฮย์ โชวีเช่ย์ (เรื่อง Breath เรื่อง Little Man! ในปี 1981) ริสโต้ โชวพอฟได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีชื่อเสียงของประเทศในภาพยนตร์ของ ลินด์มิลล์ โทโดรอฟ เรื่อง Lyubovnoto Lyato naedin Lyokhman (Love-Summer of a Schlep ในปี 1990 ) และภาพยนตร์ของ เอียนโช เอียนเชฟ เรื่อง Requisite (ปี 2000) และยังได้แสดงอย่างสม่ำเสมอในหนังอเมริกันงบน้อยที่มาถ่ายทำกันในทวีปยุโรปอย่างเช่นเรื่อง Octopus (ปี 2000) เรื่อง Mindstorm (ปี 2000) เรื่อง Interceptor Force 2 (ปี 2002) และเรื่อง Alien Hunter (ปี 2003) ผลงานเรื่องล่าสุดของเขาเป็นงานแสดงละครเวทีของอเมริกันของ ทิม เบลค เนลสันเรื่อง The Grey Zone (ปี 2002) ภาพยนตร์ที่ทำมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับ เดวิด อาร์เควด สตีฟ บัสซิมีและฮาร์วีย์ ไคเทล
คลอเดีย เจอรินี่ (คลอเดีย โปรเคลส ภรรยาของปิลาต) เติบโตขึ้นมาในกรุงโรม คลอเดียใฝ่ฝันที่จะเป็นนักแสดง นักเต้นรำ และนักร้อง ในปี 1986 ขณะที่เธออายุได้ 13 ปี เธอก็ได้รับรางวัลนางงาม Miss Teenage ของประเทศ อิตาลี ทำให้เธอเกิดโอกาส ประสบการณ์ทางอาชีพงานแรกของเธอนั้นเป็นงานโฆษณาสำหรับ เปรูจิน่า เบชี่ (Kisses) ซึ่งเป็นลูกอมช็อคโกเลตและเครื่องดื่มชเวป ในขณะที่เธออายุย่างเข้าได้ 15 ปีนั้นเธอได้รับเลือกให้รับบทในภาพยนตร์ของเซอร์จิโอ คอร์บูชี่ เรื่อง Roba Da Ricchi (เรื่อง Rob the Rich ปี 1987) เธอได้ศึกษาหาความรู้ต่อพร้อมทั้งยึดอาชีพนักแสดงไปด้วยและได้เริ่มงานละครเวที ในปี 1994 เธอยังหลงใหลในเสียงเพลงและได้ออกอัลบั้มของตัวเองหลายอัลบั้มทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาอิตาเลียน เธอยังได้รับโอกาสร้องเพลงในภาพยนตร์ของ ฟูโอชี่ ดาติฟิซิโอ (เรื่อง Fireworks ในปี 1997) ซึ่งเขียนและกำกับโดย ลีโอนาโด เปียราซิโอนี่ เจอรินี่ ประสบความสำเร็จในงานคอมมิดี้ โดยเริ่มงานเรื่อง วิอากี้ ดิ โนเซ่ (เรื่อง Wedding Journey ปี 1995) สำหรับนักเขียน ผู้กำกับและนักแสดงอย่าง คาร์โล เวอร์โดน ทั้งคู่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยกันทำให้เวอร์โดนและ เจอรินี่ร่วมงานกันอีกในเรื่อง Sono pazzo di Iris Blond (I'm Crazy About Iris Blonde ปี1996) ซึ่งเป็นงานที่ได้รับความนิยมที่ได้ออกมาในรูปแบบวีดิโอในสหรัฐอเมริกาโดยมิราแม๊กซ์ เจอรินี่ได้สร้างภาพยนตร์ สี่เรื่องในปี 1998 ซึ่งรวมทั้ง เรื่อง Deceit ภาพยนตร์แนวสยองขวัญเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเธอได้ร่วมแสดงกับ โจนาธาน ไพร์ซ ผลงานการแสดงล่าสุดในภาพยนตร์ของ มาริโอ คามุส เรื่อง La Playa de los Galgos (เรื่อง Beach of the Greyhounds ปี 2002) และรับบทเป็น ซินยอร่า รากูสซี่ ในภาพยนตร์ของ ออเดรย์ เวลล์ ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึง เรื่อง Under the Tuscan Sun (ปี 2003) เจอรินี่ให้เสียงของนางเอกภาษาอิตาเลี่ยน คือ มาริน่า ในภาพยนตร์การ์ตูนของดีสนีย์ เรื่อง ซินแบด และเมื่อไม่นานมานี้ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ของ เซอจิโอ คาสเตลลิโต้ เรื่อง Non ti muovere (เรื่อง Don't Move 2004) โดยแสดงกับ เพนเนโลเป้ ครูซ ลูก้า ลิโอเนลโล (จูดาส อิสคาริโอท) เขาได้ดำเนินรอยนักแสดงตามบิดาของเขา คือ อัลเบอโต้ ลิโอเนลโล โดยเริ่มอาชีพนักแสดงในหลายหลากบทบาทกับงานละครเวทีอิตาเลี่ยน เขาได้เริ่มงานภาพยนตร์โดยรับบทบาทกับทีมงานสร้างหลายทีมรวมทั้งทีมของ มาร์โค เบลโลชิโอ ในภาพยนตร์เรื่อง The Devil in the Flesh (ปี 1986) และเรื่อง Paprika: Life in a brothel (ปี 1989) ซึ่งกำกับโดย นักเขียนคาลิกูล่า อย่าง ทินโต้ บลาส ลิโอเนลโล ได้รับการยอมรับความเชื่อถือในประเทศอิตาเลี่ยนและยังมีชื่อเสียงในฐานะนักแสดงรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งของวงการมายา ผลงานที่ประสบความสำเร็จเรื่องล่าสุดของเขานั้นคือภาพยนตร์ฆาตกรรมซีรีส์ทางโทรทัศน์ เรื่อง La Banda (The Squad ปี 2000) และยังได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้เสียงพากย์ของนักแสดงอเมริกันอย่าง ไมเคิล เจ ฟอกซ์และทอม ครุยส์อีกด้วย
(ยังมีต่อ)
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ