(ต่อ3): ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เสนอภาพยนตร์ The Passion of the Christ

ข่าวทั่วไป Wednesday March 24, 2004 14:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 มี.ค.--ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
The Passion of The Christ
เกี่ยวกับ ทีมงาน
เมล กิบสัน (ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และร่วมเขียนบท) เกิดเป็นลูกคนที่หกในจำนวนพี่น้องสิบเอ็ดคนในนิวยอร์คและเมื่อเขาอายุ 12 ปี ได้ย้ายตามครอบครัวของเขาไปอยู่ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย เขาได้เข้าศึกษาที่สถาบัน National Institute of Dramatic Arts (NIDA) ที่มหาวิทยาลัย ของ นิวเซาท์เวลส์ เป็นที่ที่เขาได้รับบทหลากหลายรวมทั้งบท Biff ของ อาเธอร์ มิลเลอร์ เรื่อง Death of a Salesman ความสามารถทางการแสดงบนเวทีของกิบสันได้รับความสนใจจาก ผู้กำกับภาพยนตร์ที่แสดงออกด้วยภาษาทางร่างกายอย่าง จอร์จ มิลเลอร์ เขาได้เลือกให้กิบสันรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Mad Max (ปี 1979) ซึ่งเป็นภาพยนตร์งบจำกัดเกี่ยวกับรถแนวสยองขวัญที่ทำความตื่นเต้นให้กับผู้ชมทั่วโลก และในปีเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้รับบทบาทตรงข้ามกันคือรับบทสุภาพบุรุษที่มีปัญหาทางสมองชื่อทิม และได้รับรางวัลจาก Australian Film Institute ในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยม เขายังได้เริ่มฉายแววดาราดังจากภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง Gallipoli (ปี 1981) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเป็นครั้งที่สองในฐานะนักแสดงนำยอดเยี่ยมของออสเตรเลีย จากภาพยนตร์ของมิลเลอร์เรื่อง Mad Max 2: The Road Warrior (ปี 1981) ซึ่งฉายในสหรัฐอเมริกาโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส ชื่อเสียงของกิบสันเริ่มมั่นคงเป็นปึกแผ่นเมื่อเขาได้เริ่มเข้าทีมกับ เวียร์อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Year of Living Dangerously (ปี 1983) ซึ่งเขาได้รับการเสนอให้เป็น "ดาราแสดงนำที่ดีที่สุด" จาก Australian Film Institute เขาได้เริ่มงานกับวงการมายาอเมริกันโดยแสดงคู่กับ ซิสซี่ สปาเซคในภาพยนตร์เรื่อง The River (ปี 1984) และภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นลักษณะของคนในบท เฟรทเชอร์ คริสตียน ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของ โรเจอร์ โดนัลสัน เรื่อง The Bounty (ปี 1984) และบทนักโทษหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษในภาพยนตร์โรแมนติคมืดของ กิลเลี่ยน อาร์มสตรอง เรื่อง Mrs. Soffel (ปี 1984) แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการต่อเนื่องของซีรีส์เรื่อง Mad Max เรื่อง Mad Max Beyond Thunderdome (ปี 1985) และการเปิดตัวการกระหน่ำยิงของภาพยนตร์แนวบู๊ผจญภัย เรื่อง Lethal Weapon (ปี 1987) ซึ่งเป็นข้อยืนยันความสามารของเขาในฐานะซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งของโลก หลังจากได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Tequila Sunrise (ปี 1988) และเรื่อง Lethal Weapon 2 (1989) เรื่องAir America (ปี 1990) และเรื่อง Bird on a Wire (ปี1990) กิบสันได้ตั้งบริษัท ไอคอน โปรดักชั่นโดยเข้าหุ้นกับ บรู๊ซ เดวีย์ ในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hamlet (ปี 1990) ซึ่งกำกับโดย ฟรานโก้ เซฟฟิเรลลี่ บทบาทนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล วิลเลี่ยม เชคสเปียส์ จาก ห้องสมุด โฟลเกอร์ในกรุงวอชิงตัน ดีซี นับแต่นั้นกิบสันก็ได้เล่นภาพยนต์ให้กับบริษัท ไอคอน อีกหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่อง Forever Young (ปี 1992) เรื่อง Maverick (ปี 1994) เรื่อง Payback (ปี 1999) เรื่อง What Women Want (ปี 2000) เขายังคงร่วมงานกับทีมงานอื่นอย่างเช่นภาพยนตร์ของ รอน ฮาเวิร์ด เรื่อง Ransom (ปี 1996) ซึ่งเขาได้รับการเสนอในรับรางวัลลูกโลกทองคำในฐานะ นักแสดงยอดเยี่ยม ในภาพยนตร์สาขาดราม่า และภาพยนตร์ของ ริชาร์ด โดเนอร์ เรื่อง Conspiracy Theory (ปี 1997) กิบสันยังได้เริ่มงานการกำกับการแสดงในปี 1993 กับบริษัท ไอคอน เรื่อง The Man Without a Face
ในปี 1995 กิบสันได้ร่วมอำนวยการสร้าง กำกับการแสดง และร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของบ๊อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Braveheart ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัล ตุ๊กตาทองถึง 10 รางวัลและได้รับรางวัลถึง 5 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำในฐานะผู้กำกับการแสดง และรางวัล Special Achievement ในการทำภาพยนตร์จาก The National Board of Review และรางวัลจาก The National Association of Theatre Owners/ShoWest Award ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปีและยังได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก The Broadcast Film Critic's Association อีกด้วย เขายังได้รับการเสนอชื่อสำหรับ David Lean Award for Direction และสำหรับ Outstanding Directional Achievement in Motion Picture จาก The Directors Guild of America
ในปี 2000 กิบสันกลายเป็นดาราคนแรกที่แสดงหนังถึงสามเรื่องในปีเดียว ที่ทำให้เขามีรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ ในภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอมเมอร์ริช เรื่อง The Patriot นั้น กิบสันแสดงเป็นเบนจามิน มาร์ติน ผู้กล้าที่ไม่ค่อยจะเต็มใจที่เข้าไปเป็นประวัติศาสตร์การปฏิวัติของอเมริกันเมื่อสงครามคุกคามชีวิตครอบครัวของเขา เขายังก้าวต่อไปเมื่อกิบสันให้เสียงพากษ์เป็นไก่อเมริกันชื่อ ร๊อคกี้ในภาพยนตร์การ์ตูนแนวผจญภัยของบริษัท ดรีมเวริค์และเอสเคจี เรื่อง Chicken Run และในปลายปีนั้นเขาก็รับบทเป็นนิค มาร์เชล ผู้บริหารนักโฆษณาชาตินิยม ผู้ที่มีโอกาสได้รับรู้ความรู้สึกด้านที่เป็นผู้หญิงในภาพยนตร์ของ พาราเม้าท์ พิคเจอร์สและไอคอน โปรดักชั่น ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเรื่อง What Women Want (ปี 2000) ภาพยนตร์โรแมนติคคอมมิดี้ซึ่งกำกับโดยแนนซี่ เมเยอร์ส และแสดงร่วมกับ เฮเลน ฮันท์โดยในช่วงเวลานั้นได้การยอมรับว่าทำรายได้ในการฉาย 3วันแรกดีที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา (33.6 ล้านเหรียญ) และมีรายได้รวมสูงสุดในบรรดาหนังรักโรแมนติคคอมเมดี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลลูกโลกทองคำในการแสดงของเขาในฐานะ ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2002 กิบสันรับบทเป็นวีรบุรุษสงครามเวียดนามชื่อ นายพล ฮาโรลด์ มัวร์ ในภาพยนตร์ของแรนดัล วอลเรซ เรื่อง We Were Soldiers เป็นเรื่องราว 34 วันของการต่อสู้กับความสิ้นหวังที่เป็นสัญญาณในการรบภาคพิ้นดิน (และผลของการรบสามารถคาดเดาได้) และรับบทเป็น บาทหลวง เกรแฮม เฮส ที่ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของพวกสัตว์ประหลาดจากนอกโลก (และการสั่นคลอนในความศรัทธา) ในภาพยนตร์ของ เอ็ม ไนท์ ยามาแลน เรื่อง Signs ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ที่ให้กิบสันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เบเนดิค ฟิทซเจอรัล (ผู้ร่วมประพันธ์) ได้ร่วมงานกับเมล กับสันมากว่า 2 ปี ในการเขียนบทเรื่อง The Passion of the Christ เขาได้นำคุณสมบัติพิเศษมาใส่ในงาน โดยได้ชนะรางวัลจากการดัดแปลงบทจากภาพยนตร์ของ เฟรนนารี่ โอคอนเนอร์ เรื่อง Wise Blood (กำกับการแสดงโดย จอห์น ฮูสตั้น ในปี 1979) เขาเป็นลูกชายของกวีเลื่องชื่ออย่าง โรเบิร์ต ฟิทซเจอรัล ที่เป็นเจ้าของบทความแปลเรื่อง Homer เรื่อง Virgil และเรื่อง Sophocles และยังคงได้รับการพิจารณาว่าเป็นที่สุดในด้านนี้ และแซลลี่ ฟิทซเจอรัล ผู้ดัดแปลงจดหมายของ เฟรนนารี่ โอคอนเนอร์ (Habit of Being) ได้รับความนิยมเท่าเทียมกัน โอคอนเนอร์เองเธอยังได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเขียนคาทอลิคสัญชาติอเมริกัน และเป็นเพื่อนของ ตระกูลฟิทซเจอรัลด้วย ในฐานะผู้กำกับบท ฟิทซเจอรัลยังคงเชี่ยวชาญทางด้านการดัดแปลงวรรณกรรม ยิ่งยากมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นงานท้าทาย ในช่วงปี ค.ศ. 1990 เขาได้เขียนบทละครโทรทัศน์สำหรับ เซลด้า (กำกับโดย แพท โอคอนเนอร์ ปี 1993) แสดงโดย นาตาช่า ริชาร์ดสัน และ ทิโมธี ฮัทตั้น และของโจเซฟ คอนราดเรื่อง Heart of Darkness (กำกับโดย นิโคลาส โรเอค ปี 1994) กับจอห์น มัลโควิคและทิม โรธ เรื่อง Moby Dick (กำกับโดย ฟราน ร๊อดแดม) โดยแพทริค สจ๊วตเป็น กัปตัน อาแฮบ เรื่อง In Cold Blood (ซึ่งกำกับโดย โจนาธาน คาแพลน ในปี 1996) กับ อิริค โรเบิร์ต ในปัจจุบันนี้ฟิทซเจอรัลก็กำลังทำงานเกี่ยวกับหนัง มินิซีรีส์สำหรับโทรทัศน์ของเยอรมันโดยมีเค้าโครงมาจาก นิยายของบูลเวอร์ ลิธตั้น เรื่อง The Last Days of Pompeii บรู๊ซ เดวีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผู้ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง บรู๊ซ เดวีย์เป็นประธาน/กรรมการ/ผู้อำนวยการสร้าง ของไอคอน โปรดักชั่น ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาร่วมตั้งและเป็นหุ้นส่วนกับเมล กิบสันในปี 1989 ในหน้าที่ของเขานั้นเขาได้ดูแลกิจการและความเป็นไปของบริษัทไอคอน ตั้งแต่การคิดสร้างสรรไปจนถึงงานด้านการเงิน เขาเป็นชาวซิดนีย์ ออสเตรเลีย เดวีย์ได้เริ่มงานของเขาจากการเป็นนักบัญชีและเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงหลายคน ศิลปินวงร๊อคและนักดนตรีอีกหลายคน เขาได้พบกับเมล กิบสันครั้งแรกในงานการแสดงเมื่อปี 1980 และเมื่อเมลได้ร่วมงานกับเขาจากเรื่อง Hamlet (ปี 1990) เขาได้ขอร้องให้เดวีย์ย้ายเข้ามาอยู่ใน แอล เอ เพื่อทำงานให้กับเขาในฐานะหุ้นส่วนการทำงานสร้างภาพยนตร์ เดวีย์ได้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์เรื่อง Forever Young (ปี 1992) ซึ่งนับว่าเป็นภาพยนตร์ยอดฮิตของบริษัท ไอคอน เรื่อง Immortal Beloved (ปี 1994) ภาพยนตร์เรื่องแรกที่กิบสันเริ่มงานกำกับการแสดงของเขา เรื่อง A Man Without a Face (ปี 1993) เรื่อง Maverick (ปี 1994) เรื่อง Airborne (ปี 1993) เรื่อง An Ideal Husband (ปี 1999) เรื่องที่กิบสันชนะเลิศรางวัลตุ๊กตาทองหลายรางวัลอย่างเรื่อง Braveheart (ปี 1995) เรื่อง Payback (ปี 1999) ภาพยนตร์ของ เอธอม อีโกยัน เรื่อง Felicia's Journey (ปี 1999) ภาพยนตร์ของ วิม เวนเดอร์ เรื่อง The Million Dollar Hotel (ปี 2000) เรื่อง What Women Want (ปี 2000) เรื่อง We Were Soldiers (ปี 2002) และเรื่อง The Singing Detective (ปี 2003) เดวีย์เป็นพลังในการผลักดันให้ไอคอนผูกมัดเป็นบริษัทภาพยนตร์ครอบครัวที่เยี่ยมยอด รวมทั้งหนังนิทาน เรื่อง A True Story (ปี 1997) ซึ่งได้รับรางวัล BAFTA ในฐานะภาพยนตร์เด็กยอดเยี่ยมอีกด้วย ตอนนี้เดวีย์กำลังเตรียมงานการฉายภาพยนตร์เรื่อง Paparazzi ซึ่งเป็นผลงานของ ไอคอน โปรดักชั่นในปี 2004
สตีเฟน แมคอีวิตี้ (ผู้อำนวยการสร้าง) เขาค่อย ๆ เติบโตในวงการมายา ในตอนที่เขาเป็นเด็กเขาได้ร่วมแสดงในหลายตอนของซีรีส์ทางโทรทัศน์ของโกลเด้นเอจ เรื่อง Gunsmoke เรื่อง My Three Sons และ เรื่อง Star Trek เขาได้รับแรงบันดาลใจจากคุณพ่อที่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียน ผู้กำกับและอำนวยการสร้างและประสบความสำเร็จในวงการในงานภาพยนตร์เกี่ยวกับครอบครัว แมคอีวิตี้ ดำเนินตามรอยเท้าของคุณพ่อเขา โดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง Real Genius และเรื่อง Early Frost และยังได้เป็นผู้จัดการทางด้านการผลิตภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Trip To Bountiful และเรื่อง Flatliners และภาพยนตร์ของ เมล กิบสัน เรื่อง Forever Young และเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม เรื่อง Hotshots แมคอีวิตี้ปัจจุบันได้ทำสัญญากับบริษัท ไอคอน โปรดักชั่น ซึ่งเขาได้เป็นผู้อำนวยการบริหารของภาพยนตร์เรื่อง What Women Want เรื่อง Payback เรื่อง Leo Tolstoy's Anna Karenina เรื่องImmortal Beloved เรื่อง The Man Without a Face และเรื่อง Braveheart ซึ่งได้รับการเสนอเข้าชิงสิบรางวัลตุ๊กตาทอง่และชนะถึงห้ารางวัล ซึ่งร่วมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง We Were Soldiers เรื่อง 187 และเรื่อง Airborne ซึ่งเขาเขียนขึ้นเองด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง Paparazzi เป็นงานเรื่องล่าสุดของ บริษัท ไอคอนที่จะนำออกฉายในปี 2004
เอนโซ่ ซิสตี้ (ผู้อำนวยการบริหาร) เป็นชาวโรมที่มากด้วยประสบการณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์อิตาเลี่ยนและภาพยนตร์ยุโรป เขาได้ทำงานเป็นนักบัญชีของทีมงานสร้างภาพยนตร์ เป็นผู้จัดการทีมงานและเป็นผู้อำนวยการสร้างมานานหลายปีให้กับภาพยนตร์ฮอลลิวู้ดกว่าสิบสองเรื่องที่ถ่ายทำในทวีปยุโรป รวมทั้ง เรื่อง Clash of the Titans (ปี 1981) เรื่อง Ladyhawke (ปี 1985) เรื่อง The Advantures of Baron Munchausen (ปี 1988) เรื่อง Indiana Jone and the Last Crusade (ปี 1989) เรื่อง The Talented Mr. Ripley (ปี 1999) และ Gans of New York (ปี 2002) ภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซสที่ถ่ายทำต่อจากภาพยนตร์เรื่อง The Passion of The Christ ที่โรงถ่ายซิเนซิต้า บริเวณนอกเมือง อิเทอนัล ซิตี้ คาเล็บ เดสชาเนล (ผู้กำกับภาพ) เขาจบการศึกษาจาก USC ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งโทรทัศน์และภาพยนตร์ในปี 1968 ในปี 1976 เขาได้รับรางวัล Silver Bear จากเทศกาลหนังกรุงเบอร์ลิน สำหรับภาพยนตร์สั้นที่เขาถ่ายทำและกำกับเอง เรื่อง Trains ในปี 1979 เดสชาเนล ด้วยความช่วยเหลือจาก เพื่อนที่เคยร่วมชั้นที่ USC คือ จอร์จ ลูคัส ให้ได้พบกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่าและได้ถ่ายภาพในภาพยนตร์เรื่อง Apocalypse Now ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้เลื่อนเป็นผู้กำกับภาพและไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจกับผลงานถ่ายทำของเขาในภาพยนตร์ของคอปเปล่าเรื่อง The Black Stallion และได้รับการเสนอชื่อ ให้รับราง BAFTA และได้รับชื่อเสียงและการกล่าวขวัญท่ามกลางการวิพากวิจารณ์ในผลงานที่เป็นเลิศในด้านการถ่ายภาพและการใช้แสงของเขา เดสชาเนล ได้รับการเสนอให้รับรางวัลตุ๊กตาทองจากงานการใช้กล้องของเขาจากภาพยนตร์เรื่อง Right Stuff (ปี 1983) และเรื่อง Natural (ปี 1984) และตั้งแต่นั้นก็ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับการยอมรับออกมาอีกมากมายรวมทั้ง เรื่อง Fly Away Home เรื่อง Hope Floats เรื่อง Message in a Bottle เรื่อง Anna and the King และเรื่อง The Patriot ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล ASC เดสชาเนลได้กำกับภาพยนตร์และหลายตอนในผลงานซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ เดวิด ลินช์ เรื่อง Twin Peaks เขาเป็นผู้ร่วมตั้ง Dark Light Pictures และเพิ่งเสร็จงานภาพยนตร์เรื่อง Timeline ของริชาร์ด ดอนเนอร์ที่จะนำออกฉายในปี 2004 ฟรานเชสโก้ ฟริเกอรี่ (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) และ คาร์โล เจอวาซี่ (ผู้ตกแต่งฉาก) ได้ร่วมกันทำงานในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและออกแบบฉากที่สวยงามให้ภาพยนตร์อิตาเลี่ยน งานของพวกสวยงามโดดเด่นมากว่าสี่ทศวรรษในหลายหลากรูปแบบ ในภาพยนตร์ของ ฟรังโก้ เซฟฟิเรลลี่ เรื่อง The Taming of the Shrew (ปี 1967) และกับอลิซาเบธ เทย์เลอร์และริชาร์ด เบอร์ตั้น ภาพยนตร์ย้อนยุคของลูชิโน่ วิสคอนติ เรื่อง The Innocent (ปี 1976) ภาพยนตร์ห้าวเรื่อง La Cage aux Folles (ปี 1978) ภาพยนตร์ของเฟรเดอริโก้ เฟลินี่ เรื่อง The City of Women (ปี 1981) ภาพยนตร์ของ นิกิต้า มิคาลคอฟ เรื่อง Dark Eyes (ปี 1987) และภาพยนตร์ของ จีโอเซป ทอร์นาดอร์ เรื่อง The Legend of 1900 (ปี 1998) และ Malena (ปี 2000) ภาพยนตร์ของ จูลีย์ เทย์มอร์ ที่ทำให้ผู้นิยมเช็คสเปียร์ตื่นเต้นในเรื่อง Titus (ปี 1999) และของ ลิเลี่ยนน่า คาวานี่ เรื่อง Ripley's Game (ปี 2002) ซึ่งจอห์น มัลโควิชได้รับบทนำเป็น นักออกอุบายของ แพทริเซีย ไฮสมิธ จอห์น ไรท์ (ผู้ลำดับภาพ) ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับสองรางวัลตุ๊กตาทอง่สำหรับผลงานของเขาเรื่อง Hunt for Red October และเรื่อง Speed ซึ่งได้รับรางวัล British Academy Award (BAFTA) ภาพยนตร์ที่เขาลำดับภาพนั้นอย่างเรื่อง The Thomas Crown Affair เรื่อง X Men เรื่อง The Rock เรื่อง Die Hard With a Vengeance เรื่อง Broken Arrow เรื่อง The Last Action Hero เรื่อง Frances และเรื่อง Sea of Love และสำหรับผลงานที่สร้างชื่อของเขาทางโทรทัศน์คือเรื่อง Sarah เรื่อง Plain and Tall ไรท์ได้รับรางวัลเอมมี่ในผลงานการลำดับภาพที่โดดเด่นของเขาและได้รับรางวัล เอดดี้ ในฐานะAmerican Cinema Editor's อีกด้วย หลังจากเสร็จจากภาระกิจรับราชการทหาร ไรท์ได้เริ่มต้นอาชีพเป็นผู้ตัดต่อฝึกหัดกับเดวิด โวลเพริท์ โปรดักชั่น โดยเป็นผู้ช่วยในการทำสารคดีในโครงการ The Undersea World of Jacques Cousteau เขาได้ก้าวหน้าและเป็นผู้ลำดับภาพยนตร์และผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงสำหรับสารคดี National Geographic ภาคพิเศษ ในตอนเริ่มต้นของอาชีพของเขานั้น ไรท์ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลเอดดี้ เป็นรางวัลแรกสำหรับงานสารคดี เรื่อง Life Goes To War: Hollywood and the Home Front
จอห์น เดบนี่ (ผู้ประพันธ์เพลง) เป็นหนึ่งในผู้ประพันธ์เพลงที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งของวงการ
ฮอลลิวู้ด ความสามารถพิเศษของเขาในการสร้างผลงานอันเป็นที่น่าจดจำสำหรับผู้ฟังทุกเพศทุกวัย และชื่อเสียงของเขาในความร่วมมือในการทำงาน ทำให้ตัวเขาเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้สร้างผู้กำกับหลาย ๆ คน ผลงานการประพันธ์ของจอห์น สองเพลงติดอันดับท๊อปฮิตของปี ในภาพยนตร์เรื่อง Brune Almighty และ เรื่อง Elf จอห์นได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Bruce Almighty คือ ทอม เชเดียค รวมทั้ง ภาพยนตร์ยอดนิยมอีกเรื่องหนึ่งของ จิม แคร์รี่ คือ เรื่อง Liar Liar ผลงานของเดบนี่นั้นรวมทั้ง ภาพยนตร์แนวแอคชั่นครอบครัวของ โรเบิร์ต โรดริเกรซ เรื่อง Spy Kids และเรื่อง Spy Kids 2; the animated Jimmy Neutron: Boy Genious และ I Know What You Did Last Summer
ขณะนี้จอห์นกำลังสร้างสรรค์ผลงานการ์ตูนของดีสนีย์เรื่อง Chicken Little เขายังได้ร่วมงานกับผู้กำกับเรื่อง The Princess Diaries คือ แกรี่ มาร์แชล สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Raising Helen และสำหรับปีหน้า เป็นภาพยนตร์เรื่อง The Princess Diaries 2 จอห์น กำลังจะร่วมงานกับโจ ร๊อธ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Shopping on Christmas อีกด้วย
มอร์ริซิโอ มิเลโนตติ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้เคยทำงานให้กับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของอิตาลีมามากมายหลายคน ซึ่งรวมทั้ง เฟรเดริโก้ เฟลลินี่ ฟรังโก้ เซฟฟิเรลลี่ เออมาโน โอมี่ และ เจียเซป ทอร์นาดอร์ เขาได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลตุ๊กตาทองสำหรับภาพยนตร์สองเรื่องที่กับโดย เซฟฟิเรลลี่ ซึ่งดัดแปลงมาจากละครโอเปราเรื่อง Otello (ปี 1986) และของเช็คสเปียร์เรื่อง Hamlet (ปี 1990) ที่เมล กิบสันร่วมแสดงในบทเล็ก ๆ เขาได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับโรงละครตั้งแต่ในช่วงต้นปีศตวรรษ 1970 และเริ่มงานภาพยนตร์ในปี 1984 ในผลงานของ เฟลลินี่ เรื่อง And the Ship Sails On มิเลโนตติ ได้ทำงานกับบริษัท ไอคอน โปรดักชั่นมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน รวมทั้งผลงานของปีเตอร์ กรีนเวย์เรื่อง The Belly of an Architect (ปี 1987) ภาพยนตร์ของ เฟลลินี่เรื่อง The Voice of the Moon (ปี 1990) ผลงานของ โอมี่เรื่อง The Secret of the Old Woods (ปี 1993) และให้กับภายพนตร์ของ ทอร์นาดอร์เรื่อง The Legned of 1900 (ปี 1998) และเรื่อง Malena (ปี 2000) ซึ่งในเรื่องหลังนี้มีโมนิก้า เบลลุชี่ซึ่งแสดงใน The Passion of The Christ ร่วมแสดงบทนำในเรื่องนี้ด้วย เขาเพิ่งจะเสร็จงานกับเควิน เรย์โนล์ดเรื่อง Tristan & Isolde (ปี 2004) อำนวยการสร้างโดยริดลี่ย์ สก๊อตต์ให้กับบริษัท ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ฟ๊อกซ์ เมื่อไม่นานมานี้เอง
คีธ แวนเดอร์แลน และ เกร็ก แคนนอม (เทคนิคแต่งหน้าพิเศษ) ได้ร่วมงานกันมาอย่างสม่ำเสมอ สำหรับคีธ แวนเดอร์แลนและ เกร็ก แคนนอม ทั้งคู่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองในปี 2002 สำหรับผลงานของทั้งคู่ในภาพยนตร์ของ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ เรื่อง Hannibal บริษัทของทั้งสองคือ ของ แวนเดอร์แลนชื่อ Creative Audience และของ แคนนอมคือ Cannom Creation ได้สร้างสรรค์เทคนิคน่าสะพรึงกลัวคือการแต่งหน้าแบบ "ถลกหน้า" ให้กับนักแสดง แกรี่ โอลด์แมน ทั้งหมดแต่ไม่ได้รับการยอมรับในภาพยนตร์เรื่องนั้น แคนนอมและแวนเดอร์แลนยังได้เทคนิคการเปลี่ยนร่างกายให้กับเมล กิบสันในภาพยนตร์เรื่อง The Man Without a Face (ปี 1993) และให้กับโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ สำหรับบริษัท ไอคอน โปรดักชั่น เรื่อง The Singing Detective (ปี 2003) ผลงานเหล่านี้ทำให้เขาทั้งสองเป็นช่างเทคนิคการแต่งหน้าพิเศษที่ต้องการของเรื่อง The Passion of The Christ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ต้องการการแต่งหน้าพิเศษที่แสดงออกให้เหมือนจริงมากที่สุดในฉากถูกตรึงกางเขนและฉากถูกทรมานโบยตีเกร็ก แคนนอม เริ่มงานอาชีพของเขาโดยเป็นผู้ช่วย ริค เบเกอร์ ซึ่งเป็นเหมือนตำนานของการแต่งหน้าของ SFX ในภาพยนตร์เรื่อง The Fury (ปี 1977) และเรื่อง The Incredible Shrinking Woman (ปี 1981) และให้กับภาพยนตร์ของ ร้อบ โบทิน จากผลงานตำนานมนุษย์หมาป่าแบบคลาสสิคของ โจ ดังเต้ เรื่อง The Howling (ปี 1981) เขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล ตุ๊กตาทอง่ ในภาพยนตร์ถึง 5 เรื่องซึ่งรวมทั้งจากภาพยนตร์เรื่อง Titanic และเรื่อง Bicentennial Man ผลงานสร้างชื่อของเขายังรวมถึงเรื่อง Monkeybone เรื่อง Bless the Child เรื่อง Big Momma's House และเรื่อง The Insider ผลงานจากภาพยนตร์เรื่อง The Mask ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา
แวนเดอร์แลนและแคนนอมได้ร่วมกันทำงานมาหลายปี โดยได้สร้างสรรค์ผลงานพิเศษทางด้านเสื้อผ้าและการแต่งหน้าอันเป็นเลิศให้กับงานภาพยนตร์และวาไรตี้ทางโทรทัศน์หลายต่อหลายเรื่อง และในจำนวนนี้รวมทั้งเรื่องที่น่าจดจำอย่าง Bram Stoker's Dracula (ปี 1992) เรื่อง Mrs. Doubtfire (ปี 1993) เรื่อง The Mask (ปี 1994) เรื่อง Thinner (ปี 1996) เรื่อง Blade (ปี 1998) เรื่อง Big Momma's House (ปี 2000) เรื่อง A Beautiful Mind (ปี 2001) เรื่อง Bulletproof Monk (ปี 2003) เรื่อง Pirate of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl (ปี 2003) และเรื่อง Master and Commander: The Far Side of The World (ปี 2003) และเรื่องล่าสุดของเขาทั้งแวนเดอร์แลนและแคนนอมคือเรื่อง Passion of The Christ โดยร่วมงานกับแมรี่ คิม ซึ่งเคยได้ร่วมงานกันมาจากภาพยนตร์ที่น่าจดจำทั้งสามเรื่องคือเรื่อง Count Dracula เรื่อง The Wolfman และเรื่อง The Frankenstein Monster และสำหรับภาพยนตร์ของบริษัท ยูนิเวอร์แซล ในปี 2004 นี้คือเรื่อง Van Helsing นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ๊คแมน ในเรื่องของ บราม สต๊อคเกอร์ โดยรับบทเป็นนักล่าแวมไพร์
บริษัท ไอคอน โปรดักชั่น เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์อิสระเริ่มก่อตั้งในเดือนสิงหาคม ปี 1989 ไม่เหมือนกับบริษัทผลิตภาพยนตร์อิสระบริษัทอื่น ๆ การที่บริษัทไอคอนได้ทุ่มเงินส่วนใหญ่ในการพัฒนาและการจ้างเหมาภายใน ทำให้บริษัท ไอคอนสามารถมีอำนาจในการควบคุมการสร้างสรรค์ผลงานในทั้งหมดของขั้นตอนการผลิตภาพยนตร์ ผลงานการผลิตของบริษัท ไอคอน โปรดักชั่นนั้น รวมถึง เรื่อง Hamlet (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส) Forever Young (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส) เรื่อง The Man Without a Face (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส/ในประเทศ ร่วมกับ Majestic Films/ในต่างประเทศ) เรื่อง Airborne (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส/ในประเทศ ร่วมกับ Majestic Films/ในต่างประเทศ) เรื่อง Maverick (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส) เรื่อง The Singing Detective (Paramount Classics) เรื่อง Immortal Beloved (Columbia/ในประเทศ และ Majectic Film/ต่างประเทศ) เรื่อง Braveheart (Paramount/ในประเทศ บริษัท 20th เซ็นจุรี่ ฟอกซ์/ต่างประเทศ) เรื่อง On Our Selection (Village Roadshow) เรื่อง Leo Tolstoy's Anna Karenina (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส) เรื่อง 187 (วอร์เนอร์ บราเดอร์ส) เรื่อง FairyTale: A True Story (Paramount) เรื่อง Payback (Paramount/ในประเทศและวอร์เนอร์ บราเดอร์ส/ต่างประเทศ) เรื่อง An Ideal Husband (Miramax/ในประเทศ) เรื่อง Greenwich Mean time และเรื่อง Ordinary Decent Criminal (Miramax) เรื่อง Felicia's Journey (Artisan Entertainment) เรื่อง What Women Want (Paramount) เรื่อง We Were Soldiers (Paramount) และผลงานที่กำลังจะนำออกฉายของบริษัทไอคอน โปรดักชั่นคือเรื่อง
Paparazzi Copyright 2004 Icon Distribution, Inc. in all territories. Released by Twentieth Century Fox. Icon Distribution is the author of this motion picture for purposes of copyright and other laws/.--จบ--
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ