พีทีที โกลบอล เคมิคอล ประกาศผลประกอบการ 2554 เพิ่มขึ้น 84 %

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 20, 2012 10:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--พีทีที โกลบอล เคมิคอล นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในปี 2554 มีกำไรสุทธิจำนวน 30,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84 % เมื่อเทียบกับปี 2553 โดยมีรายได้จากการขายจำนวน 500,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 % เมื่อเทียบกับปี 2553 และมีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 54,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56 % จากปี 2553 บริษัทฯ ได้จัดทำรายงานข้อมูล (งบการเงินเสมือนเปรียบเทียบ) สำหรับผลการดำเนินงานตลอดปี 2554 ดังผลสรุปข้างต้น เนื่องจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2554 จากการควบบริษัทระหว่าง ปตท. เคมิคอล กับ ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายจำนวน 104,433 ล้านบาท มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา จำนวน 7,068 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,113 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2554 เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรปทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับประเทศจีนได้เพิ่มความเข้มงวดด้านนโยบายการเงินเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ ส่งผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ซื้อไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ การเกิดวิกฤติน้ำท่วมของประเทศไทย ในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทฯ แต่บริษัทฯ ได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้ามีความจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าลง ให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงในช่วงเกิดน้ำท่วม โรงแยกก๊าซฯ จึงลดปริมาณการส่งก๊าซซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตโอเลฟินส์ ทำให้ต้องลดปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ลงด้วย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) มีการดำเนินงานแบ่งเป็น 7 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสาธารณูปการ 2.) กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ 3.) กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ 4.) กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ 5.) กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เทิลีนออกไซด์ 6.) กลุ่มธุรกิจกรีนเคมิคอล และ 7.) กลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ หรือ High Volume Specialties โดยบริษัทมีความเข้มแข็งจากความหลากหลายและครบวงจร (Fully Integrated) ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ ที่เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและการแข่งขันในธุรกิจปิโตรเคมี โดยปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวม 8.2 ล้านตันต่อปี และกำลังการผลิตปิโตรเลียม จำนวน 228,000 บาร์เรลต่อวัน ด้วยกลยุทธ์การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นและผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทางจากวัตถุดิบที่สามารถสร้างทดแทนใหม่ได้ (Renewable) โดยเน้นการตอบสนองความต้องการตลาดจากการเติบโตของเอเชียและ AEC และเพิ่มความสามารถบริหารการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตามความต้องการของตลาด (Production and Market Optimization) อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ จะดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วม (Synergy) จากการควบบริษัท ที่จะมีมูลค่า 80 — 154 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี (ประมาณ 2,500 — 4,900 ล้านบาท) อย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2558 สำหรับภาพรวมสถานการณ์ตลาดปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในตลาดโลก ปี 2554 ประกอบด้วย สถานการณ์ตลาดปิโตรเลียม : ปี 2554 ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 36 % จากปีก่อน สถานการณ์ตลาดอะโรเมติกส์ : ปี 2554 ปรับตัวขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะความต้องการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์โพลิเอสเตอร์ที่เป็นธุรกิจปลายน้ำของผลิตภัณฑ์พาราไซลีน โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีนเพิ่มขึ้น 220 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 56 % จากปีก่อน สถานการณ์ตลาดโอเลฟินส์ : ปี 2554 ราคาเฉลี่ยเอทิลีนและโพรพิลีนอยู่ที่ระดับ 1,187 และ 1,386 เหรียญสหรัฐฯต่อตันตามลำดับ สูงกว่าปีก่อนเฉลี่ย 10% และ 23% ตามลำดับ โดยในปี 2553 ราคาเฉลี่ยเอทิลีน อยู่ที่ 1,076 และโพรพิลีน เฉลี่ย 1,132 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน สถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติก : ปี 2554 ราคาโพลีเมอร์เพิ่มขึ้นสูงในไตรมาสแรกจากปัญหาความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายแห่ง แต่เมื่อจีนออกมาตรการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลต่อราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ