ประธาน เจโทร บุกปราจีนฯ เริ่มแผนเดินสายสำรวจนิคมฯไทย หนุน 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค เป็นฐานการลงทุนแห่งใหม่ของไทย

ข่าวอสังหา Wednesday February 29, 2012 09:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--304 อินดัสเตรียล ปาร์ค นายเซ็ทซึโอะ อิอุฉิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร พร้อมด้วยนายคาซุฟูมิ ทานากะ รองประธานเจโทร เข้าเยี่ยมชมพื้นที่ของ สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ปราจีนบุรี หลังออกเดินสายสำรวจพื้นที่ของนิคม-อุตสาหกรรมหลายแห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นหลังไทยเผชิญวิกฤติมหาอุทกภัย เล็งเห็นศักยภาพและความพร้อมของสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค ในการเป็นฐาน การผลิตและการลงทุนแห่งใหม่ของแวดวงอุตสาหกรรมไทยเพราะปลอดภัยจากปัญหาน้ำท่วม ด้วยพื้นที่โครงการอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 20 เมตร ใกล้เมืองหลวง แหล่งขนส่ง และแหล่งแรงงานของประเทศ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่พร้อมพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงสาธารณูปโภคที่ครบครัน สามารถตอบสนองความต้องการในการผลิตและลงทุนได้เป็นอย่างดี การเข้าเยี่ยมชมสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ปราจีนบุรี ของนายเซ็ทซึโอะในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่มีต่อนักลงทุนญี่ปุ่น หลังเขตอุตสาหกรรมหลายแห่งของไทยประสบภัยน้ำท่วมและส่งผลกระทบไปยังกิจการสัญชาติญี่ปุ่นหลายราย พร้อมทั้งมองหาแหล่งลงทุนแห่งใหม่ที่มีความปลอดภัยและมีความพร้อมเพื่อรองรับนักลงทุนญี่ปุ่นทั้งเก่าและใหม่ที่มีความสนใจจะลงทุนในประเทศไทย นายเซ็ทซึโอะกล่าวว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค เป็นเขตอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและน่าจะเป็นตัวเลือกใหม่ที่มีศักยภาพมากพอที่จะเป็นฐานการผลิตสำคัญแห่งใหม่ของประเทศไทย และการเดินทางมาเยือนในครั้งนี้ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการที่ทางสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค ได้จัดงานสนับสนุนภารกิจ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุนชาวต่างชาติให้แก่รัฐบาลไทย และได้เชิญตนเป็นประธานในพิธีร่วมกับ ฯพณฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในงาน “ความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยญี่ปุ่นในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุน และการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค กับกลุ่มบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น” ที่มีบริษัท แคนนอน ปราจีนบุรี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนในการลงนาม โดยพิธีนี้จัดขึ้นภายในงาน BOI Fair 2011 เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา และจากการร่วมงานดังกล่าวได้เห็นว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการเป็นแหล่งลงทุนใหม่ให้กับชาวญี่ปุ่นได้ จึงตัดสินใจเดินทางมาเยือนสถานที่จริงถึง จ.ปราจีนบุรี จากการเยี่ยมชมในครั้งนี้ นายเซ็ทซึโอะแสดงความเห็นว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค เป็นตัวเลือกที่มาแรงมากในการก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของนักลงทุนญี่ปุ่น เพราะปลอดภัยจากปัญหาน้ำท่วมด้วยพื้นที่ตั้งของโครงการอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 20 เมตร, มีความสามารถที่จะรองรับการขยายตัวของโรงงานในอนาคตด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่พร้อมพัฒนาอีกกว่า 10,000 ไร่, เส้นทางคมนาคมที่สะดวกใกล้กรุงเทพมหานคร และอยู่ไม่ไกลจากแหล่งขนส่งและแหล่งแรงงานสำคัญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่เจโทรและนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสำคัญไม่ต่างจากเรื่องความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าและน้ำประปาที่ครบครันและเพียงพอต่อการผลิต ซึ่งทั้งหมดนี้สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่กำลังมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ใน ประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ประเด็นเรื่องความปลอดภัย ความพร้อม ทำเลอันดีเยี่ยม และศักยภาพของสวนอุตสารหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค ในการเป็นฐานการลงทุนใหม่ของประเทศนี้ได้รับการยืนยันอย่างเห็นได้ชัดจากการที่มีนักลงทุนชาวต่างชาติหลายรายที่รวมถึงบริษัท แคนนอน ปราจีนบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่ได้ตัดสินใจเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ของสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค หลังเกิดอุกทกภัยน้ำท่วม โดยให้เหตุผลหลักถึงการตัดสินใจดังกล่าวว่า ยังมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยอยู่ และพื้นที่ของสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์คก็มีความปลอดภัยจากน้ำท่วม, มีต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำกว่าในแง่ราคาที่ดินและการลงเสาเข็มเพราะมีโครงสร้างดินที่แข็ง สามารถลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างได้ถึง 20% และช่วยย่นระยะเวลาในการก่อสร้างได้ถึง 30%, มีความสะดวกในเรื่องการคมนาคมขนส่งเพราะตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 304 และ 3079 ซึ่งเชื่อมโยงกับเส้นทางขนส่งหลักอื่นๆ และอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 110 กิโลเมตร จากท่าเรือ แหลมฉบัง 130 กิโลเมตร รวมทั้งใกล้แหล่งแรงงานในจังหวัดนครราชสีมา อีกทั้งยังเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านหลักหลายประเทศ เช่น กัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่มารองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค และการรวมกลุ่มกันอย่างสมบูรณ์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( AEC) ในปี 2015

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ