กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ผลการศึกษาเรื่อง “หุ้นปันผล ขุมทรัพย์ของการลงทุน” ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปี (ปี 2543-2553) การลงทุนในหุ้นปันผลให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินไว้ในธนาคารถึง 6 เท่า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทย ในปี 2553 บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 579.76 พันล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดดำเนินการซื้อขาย
นอกจากการศึกษานี้จะชี้ให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนมีความสามารถในการทำกำไรแล้ว บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยมีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่จัดว่าเป็น “หุ้นปันผล” มากถึง 288 บริษัท หรือคิดเป็น 56.3% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด มีการจ่ายปันผลต่อเนื่องในช่วงปี 2549-2553 หรือทุกปีหลังเข้าจดทะเบียนในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในเกือบทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจการเกษตร เป็นต้น
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนและความเสี่ยง พบว่า หุ้นปันผลให้ผลตอบแทนรวมสูงกว่าผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของตลาด ขณะที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า อีกทั้งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 หุ้นปันผลยังมีผลตอบแทนรวมสูงกว่าตลาด เนื่องจากมีผลตอบแทนจาก เงินปันผลชดเชยส่วนต่างราคา นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายจากสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Free Float Turnover velocity) ของหุ้นปันผล พบว่า หุ้นปันผลแม้มีสภาพคล่องต่ำกว่าภาพรวมของตลาด แต่ก็ยังมีสภาพคล่องสูงกว่า SET50
หากผู้ลงทุนหรือผู้มีเงินออมต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร ทุกท่านสามารถเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการลงทุนในหุ้นปันผล ซึ่งสามารถลงทุนโดยตรงในหุ้นรายตัวจากการคัดสรรหุ้นในตลาด หรือเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้คัดสรรหุ้นปันผลที่มีอัตราผลตอบแทนสูง และเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET100 จำนวน 30 หลักทรัพย์ ทั้งนี้ หากมีเงินลงทุนจำกัด อาจเริ่มด้วยการลงทุนใน ETF ที่อ้างอิง SETHD (1DIV) ซึ่งเปรียบเสมือนการซื้อหุ้นปันผลแบบยกตะกร้า หรือลงทุนผ่านมืออาชีพโดยการซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นปันผล