(ต่อ1): วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ TROY

ข่าวทั่วไป Thursday April 29, 2004 10:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
งานสร้างมหากาพย์
การสร้างหนังระดับประเทศที่ยิ่งใหญ่ นับเป็นภาระที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความตั้งใจในการถ่ายทำเรื่อง Troy ผู้กับการแสดงวูล์ฟกัง ปีเตอร์เสนอ้าแขนรับความท้าทายในการถ่ายทอดอันละเอียดอ่อนของมนุษย์ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ไพศาลระดับนั้น "เรื่องของเรานั้นเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นกับตัวละครแต่ละตัว ด้วยความน่าทึ่งของอารมณ์และแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นความท้าทายที่จะต้องนำมาใส่ในตัวของมันอยู่แล้ว และที่เหนือกว่านั้น เรากำลังเล่าเรื่องที่ได้รับการบรรยายผ่านผืนผ้าใบขนาดใหญ่อันตระการตา"
การออกแบบฉากนับเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างที่สุดของการจัดสร้างสัดส่วนอันเหลือเชื่อของภาพยนตร์ ปีเตอร์เสนได้เลือก ไนเจล เฟลฟส์ ผู้ออกแบบฉากหัวสร้างสรรค์ ให้เป็นผู้ปลุกชีวิตโลกยุคโบราณของพวกเขา "ไนเจลมีความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา และภาพร่างชุดแรกของเขางดงามมาก" ปีเตอร์เสนย้อนความจำ "เขาและทีมงานเจาะลึกลงไปในงานหนังสือทุกประเภทและได้ค้นคว้าวัตถุดิบและผมต้องทึ่งกับสิ่งที่พวกเขาหามาได้"
"ความท้าทายในตอนเริ่มต้นก็คือ การทำให้มันมีคุณสมบัติของภาพยนตร์มหากาพย์" เฟลฟ์สกล่าว "วูล์ฟกังได้เน้นว่าเขาต้องการให้หนังออกมาน่าเชื่อถือและสมจริงอย่างมาก หลังจากที่ได้ทำการค้นคว้าเล็กน้อย ผมก็ตระหนักว่าความเป็นจริงของยุคสมัยนั้น คือการที่ทุกอย่างมีสัดส่วนที่เล็กมาก เมื่อ 1200 ปีก่อนคริสตกาล วัฒนธรรมที่โดดเด่นคือของพวกไมซีเน และอียิปต์ สิ่งที่ผมทำก็คือผสมศิลปะเข้าด้วยกัน และจัดสร้างรูปแบบไมซีเนเข้ากับสัดส่วนที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์ เพื่อที่จะให้ได้คำศัพท์ที่แตกต่างออกไป ที่ทั้งสมจริงกับยุค และเป็นไปตามจุดเด่นของหนังมหากาพย์"
การค้นคว้าส่วนใหญ่ของทีมค้นคว้าวิจัย สำเร็จได้ด้วยข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษ โดยการใช้วัตถุที่สะสมไว้ได้จากการขุดงานโบราณคดีในประเทศตุรกี ที่ซึ่งนครแห่งทรอยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเคยตั้งอยู่ที่นั่น ยังมีการตั้งข้อสงสัยอย่างมากมายว่าทรอยมีสภาพเช่นไรในเวลานั้น ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง อีเลียด ได้เกิดขึ้น บรรดาเมืองโบราณหลายเมืองก็ได้ถูกค้นพบตรงจุดนั้น โดยแต่ละเมืองถูกสร้างไว้เหนืออีกเมืองหนึ่ง ทอรยที่หกเป็นระดับแสดงถึงยุคที่เฟลฟ์สและทีมงานที่เกี่ยวข้องได้สร้างขึ้นมาใหม่
"นั่นก็คือ ทรอยจะออกมาเล็กกว่าที่เราได้ออกแบบไว้แต่แรก - มันค่อนข้างเป็นอะไรที่กะทัดรัด" ผู้ออกแบบฉากกล่าว "แต่ก็มีกำแพงด้านนอกอยู่จริง และเราก็มีวังด้านในที่อยู่ในส่วนที่มิดชิดของเมือง โดยส่วนใหญ่ บ้านทั้งหมดเป็นชั้นเดียว และมีหลังคาแบนทำด้วยโคลน เราจึงต้องขยายออกเล็กน้อยเพื่อให้ภาพออกมาดูน่าสนใจยิ่งขึ้น"
ส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เกิดขึ้นในและบริเวณรอบๆ เมืองทรอย องค์ประกอบหลักคือชายหาดที่ชาวกรีกยกพลขึ้นฝั่ง สนามรบด้านนอกกำแพงเมือง ตัวเมืองเองและวังที่อยู่ด้านใน โลเคชั่นอื่นๆ ที่ได้เห็นภาพใน Troy รวมไปถึงทุ่งเธสซาโลเนียนในแผ่นดินประเทศกรีซ และอาณาจักรสปาร์ตา และไมซีเน "เราพยายามอย่างมากที่จะสร้างอารมณ์ที่แสดงถึงความแตกต่างของวัฒนธรรม" เฟลฟส์บอก "โลกไมซีเนของอกาเมมนอน เกี่ยวข้องกับทองคำ ความร่ำรวย และทรัพย์สิน ตรงกันข้ามกับสปาร์ตา ซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างแห้งแล้ง ไร้สีสัน และเมื่อเรามาถึงทรอย มันเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่ม และน่าอยู่มาก"
ทีมผู้สร้างต้องตัดสินใจว่าจะใช้เลือกใช้โลเคชั่นไหนจากสามแห่ง - ลอนดอน, มอลต้า หรือเม็กซิโก - ที่จะเหมาะสำหรับฉากทั้งสามแห่ง ฉากภายในเกือบทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นที่ซาวน์ดเสตจของเชพเพอตันสตูดิโอ ซึ่งอยู่ห่างไป 40 ไมล์จากลอนดอน แต่เมืองทรอยที่กว้างใหญ่นั้นไม่อาจถูกบรรจุลงบนสเตจ "มอลต้าเป็นเกาะที่น่ารักและมีหน้าผา และโขดหินที่มีรูปแบบสวยงาม ; บริเวณที่เราใช้สร้างกรุงทรอยนั้นน่าทึ่ง" ไดอานา แรธบัน ผู้อำนวยการสร้างถ่ายทอกให้ฟัง "อย่างไรก็ตามมันไม่มีช่วงกว้างของชายหาดที่ใหญ่พอให้ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์กราฟฟิคของเราบรรจุเรือรบนับพันลำลงไปได้ หรือมีพื้นที่ว่างเปล่าพอที่จะใช้เป็นเวทีการรบของคนราว 75,000 คน โลเคชั่นสุดท้ายของเราคือเม็กซิโก ซึ่งมีทุกอย่างตรงตามความต้องการของเรา"
การถ่ายทำของ Troy เริ่มต้นที่เชพเพอตันเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2003 ฉากต่างๆ ได้ถูกสร้างขึ้นที่นั่น รวมทั้งพระราชวังแห่งทรอย ซึ่งรวมไปถึงท้องพระโรงของไปรอัม และห้องส่วนพระองค์ของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ ฉากภายในทั้งหมดมีส่วนหลังคาที่เปิดโล่ง อันเป็นผลมาจากความเป็นจริงที่ว่าปัจจัยเดียวของแสงสว่างและความร้อนคือพระอาทิตย์ และกองไฟที่ลุกอยู่ตรงส่วนกลางของแต่ละห้อง เมื่อมาถึงการออกแบบท้องพระโรงของไปรอัม เฟลฟส์ได้ทำให้มันดูโดดเด่นกว่าฉากอื่นๆ ด้วยการจัดทำบ่อน้ำใหญ่ที่สะท้อนเป็นเงาอยู่ตรงกลาง ฉากนี้ยังรวมไปถึงองค์ประกอบการออกแบบที่โดดเด่น : รูปปั้นของซุส เทพเจ้าแห่งสายฟ้า ซึ่งมีความสูง 50 ฟุต กำลังยืนถือคฑาทอง ล้อมรอบไปด้วยรูปปั้นของเทพและเทวีองค์อื่นๆ แห่งโอลิมปุส ในความสูง 15 ฟุต แต่ละองค์ตกแต่งไปด้วยเครื่องประดับทองคำซึ่งแสดงถึงสัญญลักษณ์แห่งอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาหรือเธอ"ลักษณะเด่นทางศาสนาเป็นองค์ประกอบหลักของหนัง" เฟลฟส์เล่า "ตอนที่ออกแบบรูปปั้น เราดูจากบรรดารูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นยุคแรกๆ ที่เกี่ยวข้องกัน แล้วร่วมกันกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย บ็อบ ริงค์วู้ด ปรับแต่งทรงผมและเสื้อผ้าเพื่อที่ว่ามันจะได้เข้ากันกับภาพรวมที่เราต้องจัดทำสำหรับภาพยนตร์"
ก่อตั้งทรอย
ต่อจากลอนดอน กองถ่ายได้ย้ายต่อไปยังเกาะมอลต้า ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่ซึ่งฉากภายนอกของกรุงทรอยได้ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ 10 เอเคอร์ ภายในบริเวณฟอร์ท ริคาโซลี่ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพเมื่อศตวรรษที่ 17 มอลต้าเป็นประเทศที่ร่ำรวยงานประดิษฐ์ และซากปรักหักพังโบราณจำนวนมาก - เหตุการณ์ที่เกิดมาก่อนบางส่วนในเรื่อง Troy เกือบ2,000 ปี ทีมงานลงความเห็นว่าไม่มีสิ่งก่อสร้างใดเลยที่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในสมัย 1200 ปีก่อนคริสตกาล จึงยังผลให้มีการสร้างทั้งเมืองตั้งแต่พื้นดินขึ้นไป ได้มีการจ้างคนงานชาวมอลตีส 500 คน และช่างฝีมือชาวอังกฤษ 200 คนถูกพาไปที่เกาะ เพื่อเริ่มก่อสร้างกรุงทรอยตั้งแต่ตอนต้นปี
ในขณะที่ลมแรงจัด ความร้อนสูง และความชื้น ของเกาะ ได้สร้างความเสียหายให้กับกำหนดการถ่ายทำ จนทำให้เกิดความไม่แน่นอนกับแผนการทำงานประจำวันของปีเตอร์เสน ว่าเขาควรจะถ่ายอะไรจนกว่าจะได้ฟังพยากรณ์อากาศในตอนเช้า การก่อสร้างก็ยังคงดำเนินไปภายในบริเวณฟอร์ท ริคาโซลี่ ในที่สุดการตกแต่งครั้งสุดท้ายของตัวพระราชวัง และถนนของกรุงทรอยก็ได้รับการตกแต่งโดยฝีมือของผู้ตกแต่งฉากเจ้าของสองรางวัลออสการ์-ปีเตอร์ ยัง สำหรับการถ่ายทำสองฉากแห่งการเดินทางเข้าสู่เมืองครั้งยิ่งใหญ่
ฝูงชนตัวประกอบจำนวน 1,200 คนถูกจับแต่งตัวและทำผมเพื่อเข้าร่วมในฉากขบวนแห่ของทหารม้าผู้พิทักษ์แห่งอพอลโล ที่ทำหน้าที่คุ้มกันให้กับเฮกเตอร์และปารีสในระหว่างผ่านเข้าเมือง ในขณะที่พวกเขาให้ประชาชนของทรอยได้ยลโฉมของเฮเลนเป็นครั้งแรก "มันคือเวลาที่เฮเลนได้ถูกแนะนำกับชาวเมือง ซึ่งผู้ชมได้เห็นโลกแห่งนั้เป็นครั้งแรก" เฟลฟ์สให้ความเห็น "และในฐานะคนดูพวกเขาควรมีปฏิกิริยาเดียวกับที่เฮเลนมี เมื่อเธอได้เห็นที่นั่นเป็นครั้งแรก พวกเขาควรรู้สึกหวั่นเกรง" ยัง ต้องการให้ถนนที่ขบวนแห่ต้องเดินตามทางนั้น ทำให้คนดูได้มองเห็นในหลายมิติ กับการได้เห็นบุคลิกของตัวเมืองเป็นครั้งแรก "การทำให้สิ่งปลูกสร้างมีชีวิตนั้นเราต้องใส่รายละเอียดทั้งหลาย ที่ทำให้เมืองดูเหมือนมีคนอาศัยอยู่" เขาบอก "มันไม่ได้ผลที่จะมีเครื่องปั้นวางโชว์ หรือมีผู้คนแต่งตัวเดินไปมา เราต้องใส่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาในเรื่องค้าขายประจำวัน ; คนทำงานในร้านตีเหล็ก, เดินถือตะกร้า, เข็นรถและอื่นๆ กิจกรรมทุกอย่างที่อยู่ด้านหลัง กลายเป็นความแตกต่างที่สัมผัสได้อย่างง่ายๆ ที่เพิ่มความสมจริงเล็กๆ น้อยๆให้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในศูนย์กลาง"
ลักษณะประเพณีนี้ได้แผ่ขยายออกไปทั่วทังเมืองที่กว้างใหญ่ ซึ่งถูกเผยออกมาเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง "ในจตุรัสของเมืองและบนถนนนั้น ผมพยายามแสดงถึงความแตกต่างในบางด้านของชีวิต" เฟลฟ์สกล่าว "เรามีทางสายใหญ่ และถนนเส้นเล็กๆ ที่มีส่วนเสี้ยวของชีวิตที่เป็นธรรมดามากกว่า จัตุรัสนั้นเป็นที่สำหรับเรื่องพิธีการมากกว่า เราจึงอยากออกแบบสิ่งที่ดูเป็นทางการและเคร่งครัดกว่า สุดท้าย มันเป็นที่ซึ่งม้าโทรจันถูกนำมาตั้งไว้ ดังนั้นเราจึงต้องทำงานย้อนกลับหลัง - เพราะรู้ว่ามันจะต้องมีม้าไม้สูงสี่สิบฟุตตั้งอยู่กลางจัตุรัสนี้ อะไรล่ะที่จะดูดีรอบๆ มัน?"
ม้าไม้โทรจัน
"ม้าไม้เป็นการออกแบบที่ท้าทายอันสำคัญยิ่งในภาพยนตร์" เฟลฟส์ถ่ายทอด "หากเราเพิ่มความมีเหตุผลลงไป วัตถุดิบที่พวกกรีกจะมีใช้ในการสร้างก็คงจะเป็นไม้จากเรือที่ถูกเผา และผมรู้สึกว่ามันน่าจะดูเหมือนว่าถูกสุมๆ เข้าไปด้วยความเข้าตาจนของพวกกรีก ในช่วงเวลาสิบสองวันที่ต้องสร้าง ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นวัตถุที่ให้ความรู้สึกนอกรีต ที่จะมีผลกับความเชื่อทางศาสนาของพวกโทรจัน พวกกรีกต้องใช้สิ่งที่มีอิทธิพลต่อชาวโทรจัน จนสามารถทำให้พวกเขานำม้ากลับเข้าไปไว้ยังจุดศูนย์กลางของศาสนาได้ ซึ่งก็คือจัตุรัสที่อยู่ด้านในของกำแพง"
การออกแบบวัตถุที่เป็นเหมือนสัญญลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักดีนั้น หมายความถึงว่า เฟลฟส์ต้องปรับปรุงรูปแบบที่ปลุกเร้าความรู้สึกที่จำได้ในตัวผู้ชม ในขณะที่ยังคงความถูกต้องต่อปรัชญาของภาพยนตร์ในด้านของความเป็นจริง "ผมไม่อยากให้เป็นม้าที่มีล้อ" เฟลฟส์อธิบาย "มันเป็นความคิดเก่าๆ และไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ สำหรับผมการได้เห็นมันบนชายหาดเป็นครั้งแรกพร้อมกับล้อใหญ่ๆ มันน่าจะทำท่าโค้งคำนับพร้อมกับแขวนป้ายที่เขียนไว้ว่า 'พาฉันกลับไปด้วย'"
การทำงานจากวัตถุดิบที่ใช้อ้างอิงจำนวนมาก (ซึ่งรวมถึงรูปถ่ายของเรือที่ถูกไฟเผาจนไหม้เป็นถ่าน และกอริลล่ายักษ์ที่ทำจากยางรถยนต์ทั้งตัว) คอนเซ็ปท์อาร์ติสท์จำนวนสามคนทำงานกันจนได้งานออกแบบที่สมบูรณ์แบบ เมื่อได้รูปร่างที่ถูกต้องแล้ว ช่างแกะสลักก็ดูจากภาพร่างและสร้างเป็นงานสามมิติในขนาดสิบสองนิ้วขึ้นมา และท้ายที่สุด ก็จัดทำแบบที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก และตกแต่งอย่างเต็มที่ และต่อมาช่างแกะสลักเรซินสิบสองคนก็ได้แกะรูปม้าให้เป็นสัดส่วนขนาดใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
ม้าไม้ถูกสร้างขึ้นที่เชพเพอตันสตูดิโอในลอนดอน แต่ต้องแบ่งสร้างทีละครึ่งตัว เพราะไม่มีพื้นที่มากเพียงพอที่จะใช้วางม้าขนาดยักษ์ตัวนี้ "มันเป็นเรื่องที่ทำลายประสาทค่อนข้างมาก" เฟลฟส์สารภาพ "เพราะส่วนครึ่งล่างที่มีขาและฐานนั้นเป็นงานแกะสลัก และส่วนครึ่งบนที่มีหัวและช่วงไหล่ แต่ก็ไม่จนกว่าอีกสองสามเดือนต่อมาในมอลต้า ที่เราได้เห็นตัวมันทั้งหมดอยู่รวมกัน"
ม้าไม้ถูกขนย้ายเป็นชิ้นๆ ไปที่มอลต้าหลังจากที่ทางบริษัทย้ายไปที่นั่นในตอนต้นเดือนพฤษภาคม มันถูกสร้างจากเหล็กและไฟเบอร์กลาสเกือบทั้งหมดที่ถูกตกแต่งให้ดูเหมือนไม้ มีความสูง 38 ฟุตและมีน้ำหนักสิบเอ็ดตัน เมื่อแต่ละส่วนได้ถูกเคลื่อนย้ายมาจนครบ คนงานต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ที่จะประกอบมันเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ถูกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่จะเข้าเมืองโดยผ่านประตูโทรจันที่สูง 42 ฟุต - ทางเข้าที่ต้องทำให้ดูไม่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สมัยใหม่จนเกินไป
"ผมเคยดูหนังสารคดีเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและปิรามิดในสมัยอียิปต์ ที่แสดงให้เห็นหินก้อนยักษ์ๆ ที่ถูกลากด้วยท่อนซุง" เฟลฟ์สทบทวน "งานนี้ดูมีเหตุผล และเป็นวิธีการที่ฉลาดกว่าในการออกแบบเครื่องมือที่ใช้เคลื่อนย้ายม้า ถนนที่ถูกสร้างด้วยท่อนซุงขนาดยักษ์จำนวนมาก ที่ทอดผ่านประตูเมืองและระบบการใช้เชือกชักลาก - ที่ต่อมาได้ถูกลบออกจากฟิล์มด้วยงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิค - ถูกจัดทำขึ้นเพื่อผ่อนภาระหนักหน่วงของคนที่ต้องออกแรงดึงเชือก
การเผากรุงทรอย
หลังจากที่ทุกฉากที่เกิดขึ้นในกรุงทรอยอันแสนจะงดงามได้ถูกถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมงานก็ต้องเผชิญกับขั้นตอนสุดท้ายของการถ่ายทำในมอลต้า - การทำลายงานสร้างสรรค์ให้กลายเป็นเถ้า การถ่ายทำฉากเผาทำลายเมืองทรอยนั้นต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากกับการวางแผน การประสานงาน และแรงงาน "มันเป็นหนึ่งในบรรดาฉากไฟไหม้เอาท์ดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมานับตั้งแต่เรื่อง Gone With the Wind" โจส วิลเลียมส์ ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค ถ่ายทอดให้ฟัง "งานของเราแตกต่างไปบ้างจากเรื่องนั้น เพราะมันได้รับการควบคุม และเราสามารถปิดมันได้ - ในขณะที่ของพวกเขา แค่จุดไฟขึ้นแล้วก็ปล่อยให้ลุกลามไป"
ท่อก๊าซความยาวนับพันๆ ฟุต ได้ถูกจัดวางโดยทีมงานของวิลเลียมส์และเชื่อมเข้ากับแทงค์ก๊าซชนิดเหลว ที่ติดตั้งไว้หลังอาคารบ้านเรือนที่อยู่บนถนนของโทรจัน และควบคุมโดยระบบหัวปรับวาล์วที่แยกเป็นอิสระจำนวน 350 หัว แต่ละแทงค์มีความจุก๊าซ 5,000 คิวบิคลิตร และสามารถใช้เป็นทั้งชนิดควันพ่นหรือชนิดเหลว หากใช้เป็นชนิดเหลวก็จะให้กำเนิดเปลวไฟที่มีความหนาแน่นกว่าชนิดควัน 270 เท่า ในความเสี่ยงชนิดนี้ทีมงานสตันท์ของไซมอน เครน ได้ร่วมทำงานเคียงข้างกับนักแสดง แบรด พิตต์, ไบรอัน ค็อกซ์ และฌอน บีน
การทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บในระหว่างการถ่ายทอดภาพความยุ่งเหยิงนี้ เป็นสิ่งที่เคน ผู้กำกับฯ ยูนิตที่สอง และผู้อำนวยการสร้างได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
"ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่เราใส่เป็นอย่างมากจริงๆ" อดีตผู้ประสานงานสตันท์อธิบาย "นั่นคือเหตุผลที่เราต้องพึ่งพาการซ้อมหนักเป็นอย่างมาก ยิ่งซ้อมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดความเสี่ยงลงเท่านั้น เราซ้อมฉากนี้เป็นอาทิตย์ๆ ก่อนที่เราจะถ่ายทำฉากนี้ และถึงแม้ว่าจะมีการเตรียมการไว้แล้วก็ตาม อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ เราจึงมีเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์จำนวนหนึ่ง พร้อมกับพาหนะที่เตรียมสำรองไว้ รวมทั้งแผนการอพยพหลายๆ แบบ"สืบเนื่องจากการเตรียมการเป็นอย่างดี และความระมัดระวังของทุกคนที่เกี่ยวข้องในการวางแผนและทำงาน จึงไม่มีใครเลยที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการถ่ายทำฉากอันตระการตานี้
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
กองถ่ายยูนิตที่หนึ่งและสองเสร็จสิ้นการทำงานในมอลต้าและออกเดินทางไปสู่การถ่ายทำส่วนสุดท้าย ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุด โดยเริ่มเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ลอส คาบอส เม็กซิโก ในส่วนที่อยู่ปลายสุดทางตอนใต้ของแหลมบาจา ห่างจากชายแดนสหรัฐฯไป 1,100 ไมล์
ทีมงานจำนวนหลายร้อยคนได้ถูกว่าจ้างจากทั่วประเทศเม็กซิโก หลายคนมาจากเม็กซิโกซิตี้ และที่ห่างไกลออกไป การเตรียมงานจำนวนมหาศาลยังคงดำเนินไปเพื่อให้โลเคชั่นพร้อมสำหรับการถ่ายทำ เมื่อทีมงานหลัก 350 คนเดินทางมาถึง
หลายอย่างได้เสร็จเรียบร้อยก่อนหน้าที่ทีมงานและนักแสดงจะเดินทางมาถึงยังพื้นที่ 2,800 เอเคอร์ที่เตรียมเป็นที่ไว้สำหรับรองรับงานของ Troy คนงานจำนวน 230 คน โดยส่วนมากจากเม็กซิโกซิตี้ ถูกนำมาใช้สร้างเรือรบกรีก วิหารแห่งอพอลโลที่ยิ่งใหญ่ และกำแพงกรุงทรอยที่โอ่อ่า หนึ่งในบรรดางานที่ซับซ้อนซึ่งทางทีมงานต้องพบเจอ ก็คือการแผ้วถางที่ทางสำหรับสร้างกำแพง พื้นที่หลายตารางเอเคอร์รอบๆ โลเคชั่นบนชายหาดเม็กซิโกนั้นปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้ และต้นตะบองเพชรที่ทอดขนานไปกับทะเล โดยที่ประมาณหนึ่งตารางไมล์จะต้องถูกทำปรับแต่งให้เป็นสนามรบ การศึกษาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะได้รับใบอนุญาต และในหนึ่งในบรรดาเรื่องที่ต้องทำก็คือการอนุรักษ์พันธุ์ตะบองเพชรบางชนิด ทางกองถ่ายต้องจัดเตรียมนักพฤกษศาสตร์ไปเพื่อนับ แยกชนิด และติดป้ายบนตะบองเพชรแต่ละต้น ต่อมาต้นตะบองเพชร 4,000 ต้นก็จะถูกขุดออกไปด้วยมือ นำไปดูแลในเรือนอนุบาลและเก็บรักษาไว้จนกว่าการถ่ายทำจะเสร็จสิ้น ซึ่งหลังจากนั้นจะถูกนำกลับมาปลูกใหม่ตรงจุดเดิมที่พวกมันถูกขุดไป
มีการดูแลรักษาแบบเดียวกันสำหรับสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่บนชายหาดที่ใช้ตั้งค่าย ชายฝั่งทั้งหมดของเม็กซิโกเป็นถิ่นอาศัยของเต่าที่เสี่ยงต่ออันตราย ดังนั้นเพื่อทำให้กองถ่ายสามารถใช้ชายหาดที่ทอดเหยียดยาวได้นั้น จึงต้องจัดให้มีโปรแกรมการปกป้องชีวิตเต่า ผู้เชี่ยวชาญสองคนถูกจ้างมาเพื่ออยู่เฝ้าและเดินสำรวจชายหาดวันละ 24 ชั่วโมงเป็นเวลาเจ็ดวันต่ออาทิตย์ ในช่วงหกเดือนของการถ่ายทำ หากพบว่ามีเต่าขึ้นมาออกไข่บนฝั่ง พวกเขาก็จะเก็บเอาไปไว้ในบริเวณกรงฟักไข่ และเมื่อไข่ฟักเป็นตัวในอีก 45 วันต่อมา พวกเขาก็จะนำมันกลับไปที่ชายหาดเพื่อปล่อยลงน้ำ
เมื่อบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้รับการปกป้องสิ่งแวดล้อม และแผ้วถางแล้ว ช่างไม้ 80 คนภายใต้การควบคุมของผู้จัดการ โทนี่ เกรย์สมาร์ค ก็เริ่มสร้างกำแพงด้านนอกและประตูเมืองทรอย ซึ่งใช้เวลาสี่เดือนและปูนพลาสเตอร์จำนวน 200 ตันเพื่อสร้างขึ้นมา ทีมงานได้สร้างกำแพงยาว 500 ฟุต ที่มีความสูงเฉลี่ย 40 ฟุตและสูงที่สุดถึง 60 ฟุตในส่วนกลางที่ติดกับประตู ภายหลังมันได้ถูกขยายภาพด้วยดิจิตอลจนทั้งยาวและสูงเป็นไมล์ๆ แต่โชคไม่ค่อยดีนัก เมื่อก่อนที่การถ่ายทำเกือบจะจบสิ้น ทีมผู้สร้างกลับได้พบว่ากำแพงเมืองของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำลายไม่ได้เสียแล้ว ในตอนที่ยูนิตที่หนึ่งเพิ่งทำงานเสร็จ และยูนิตที่สองเหลือเพียงสองอาทิตย์ของการถ่ายทำในเม็กซิโก ในวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ในราว 2:00 นาฬิกา พายุเฮอริเคนมาร์ตี้ได้ขึ้นฝั่งด้านใต้สุดของแหลมบาจา ฉากของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก - รวมถึงการถล่มถึงสองในสามส่วนของกำแพงเมืองทรอย
ทีมงานในยูนิตที่สองของเครนสามารถถ่ายทำในส่วนที่เทียบได้กับการทำงานทั้งอาทิตย์บนชายหาด - แม้ว่ากองเรือรบของกรีกและวิหารอพอลโลจะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนที่จะสร้างกำแพงโทรจันขึ้นมาใหม่ ปีเตอร์เสนกลับไปพร้อมกับเครนและทีมงานประมาณหนึ่งร้อยคน เพื่อทำงานถ่ายทำส่วนสุดท้ายให้เสร็จในช่วงปลายเดือนธันวาคม
"ในการสร้างหนังเรื่องนี้พวกเราค่อนข้างจะเหมือนเป็นตัวละครในเรื่อง" ผู้อำนวยการสร้าง ไดอาน่า แรธบัน กล่าว "บางครั้งมันต้องใช้ความมานะพยายามที่เหนือมนุษย์ของเราทุกคน ที่จะทำงานให้เสร็จ และในเรื่องการขนย้าย มันเป็นความท้าทายถ้าจะให้พูดถึง แต่ฉันไม่เคยทำงานกับหนังที่มีคนจำนวนมากกับอารมณ์ที่มากขนาดนี้"
(ยังมีต่อ)
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ