(ต่อ2): วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ TROY

ข่าวทั่วไป Thursday April 29, 2004 11:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
ชักแถวเข้าสู่สนามรบ
ตามแกนของเรื่องซึ่งเกี่ยวกับความรักและการรบ Troy ข้องแวะกับความโหดเหี้ยมของสงครามอย่างแท้จริง และหลายฉากของการต่อสู้ในภาพยนตร์นั้นต้องใช้ไม่เพียงแต่ความดึงดูดต่อสายตา และเทคนิคที่แม่นยำ แต่ยังได้บรรยายด้วยภาพที่น่ากลัวและผลอันหายนะของการต่อสู้ได้อย่างเฉียบคม
"การนำแสนอฉากสงครามของเราก็คือ เลือด เหงื่อ และน้ำตา" ปีเตอร์เสนกล่าว "เราอยากให้คนดูได้รู้สึกว่าเป็นอย่างไรที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางทุกสิ่ง สงครามของเราไม่ได้สง่างาม - ผมอยากให้ทุกอย่างสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ผมยกความดีอย่างมากให้กับไซมอน เครน ผู้ประสานงานสตันท์ และผู้กำกับฯ ยูนิตที่สองของเรา เขาเป็นผู้ที่นำกองทัพผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและท่าทางการต่อสู้มา เขาและทีมงานของเขาเป็นประโยชน์มากในการรวบรวมสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นสงครามที่ได้รับการออกแบบอย่างน่าทึ่ง"
ทีมงานหลักจำนวนแปดคนของเครน มีผู้เข้าร่วมงานสตันท์ 50 คนจากทั่วโลก ทีมงานได้ซ้อมกันเป็นเวลาหกอาทิตย์ก่อนเริ่มการถ่ายทำ นอกจากนั้น ตัวประกอบจำนวน, 1,000 คนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามความถนัด คนที่เก่งที่สุดจะถูกจัดให้ยืนเป็นแบ็คกราวน์ดของสตันท์ที่กำลังแสดงแอ็คชั่นการต่อสู้
การดำเนินตามกลยุทธ์การต่อสู้ในฉากที่งดงามของอคิลลิสนับว่าเป็นขั้นตอนการทำงานที่แสนเหน็ดเหนื่อย "ตอนที่อ่านสคริปท์ มันเขียนไว้ตั้งแต่ต้นเลยว่า 'อคิลลิสต่อสู้ด้วยท่วงท่าของเทพ'" เครนบอก "ใช่ มันง่ายที่จะเขียน แต่ยากมากๆ ที่จะทำ และเพียงประโยคเดียวนั้น ได้สร้างงานจำนวนมากให้กับคนจำนวนมาก สุดท้ายมันกินเวลาสามเดือนและใช้คนราวสามสิบคนที่จะออกมาเป็นท่าการต่อสู้ของอคิลลิส เขามีลีลาการชก แต่ด้วยอัตราความเร็วของนักเล่นสเก็ต และความปราดเปรียวของเสือดำ และเขาไม่จ้องคู่ต่อสู้ตรงๆ เขาจะมองไปทางด้านข้างเล็กน้อย และมองเฉพาะในเวลาที่เขาตรงเข้าไปเพื่อฆ่า - ถ้าหากเขามองคุณ รู้ตัวได้เลยว่าตายแน่"
พิตต์ทำงานเป็นเวลาหกเดือนล่วงหน้าการถ่ายทำ เพื่อพัฒนารูปร่างให้เป็นอคิลลิสผู้น่าเกรงขาม "นอกไปจากการฝึกร่างกาย" พิตต์บอก "ผมยังต้องเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างมาก ระดับของรูปร่างที่ต้องเป็นในบทนี้ ทำให้เป็นขั้นตอนที่เหนื่อยยาก แต่ทว่าแต่ละชิ้นส่วนก็ประกอบกันเป็นงานที่สำเร็จขึ้นมา ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่น โชคดีของผมที่มีเวลามากก่อนการถ่ายทำ ที่จะฝังตัวเองเข้าไปได้ ผมเริ่มหกเดือนล่วงหน้า และต่อมาไซมอนกับทีมของเขาก็ตามมา และเริ่มปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา"
หากการพัฒนาเทคนิคการต่อสู้ของคนหนึ่งคนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และกินเวลาแล้ว ประสบการณ์ฝึกสอนคน 1,000 คนให้ต่อสู้อย่างเป็นหนึ่งเดียวนั้นคงเป็นฝีมือที่หาใดเทียบไม่ได้ กลไกความพร้อมเพรียงของการเคลื่อนไหวของคนหลายร้อยที่ไม่เคยผ่านการเป็น "กองทหาร" นับเป็นงานที่ท้าทาย ที่ทีมผู้สร้างได้มอบไว้ให้ในมือของผู้เชี่ยวชาญของยุค "โดยธรรมชาติแล้วคนเราไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม" ริชาร์ด สเมดลีย์ ที่ปรึกษาด้านเทคนิคและอดีตนายทหารแห่งกองทัพพอังกฤษกล่าว "ดังนั้นก่อนที่เราจะสามารถเริ่มการถ่ายทำเสียด้วยซ้ำ เราต้องสอนพวกตัวประกอบ - ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านการเป็นทหาร - เพื่อทำงานร่วมกันในแบบที่พร้อมเพรียงกัน เมื่อเราได้ฝึกให้พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเป็นกลุ่ม และหลบหลีกในชั่วเสียงดีดนิ้ว เราจึงสามารถสอนให้พวกเขาทำในสิ่งที่เราต้องการให้ทำจริงๆ ในภาพยนตร์"
ที่มอลต้า สเมดลีย์และทีมของเขาได้ฝึกตัวประกอบ 200 คนเป็นเวลาสี่อาทิตย์ โดยสอนความชำนาญอย่างเช่น การเดินแถวเป็นจังหวะเดียวกัน การจับอาวุธที่ถูกต้อง และการรับคำสั่งในการเตรียมที่จะทำงานในฉากการต่อสู้บางฉากที่ถ่ายทำบนเกาะ เมื่อกองถ่ายย้ายไปที่เม็กซิโก ซึ่งจะถ่ายทำฉากการต่อสู้ครั้งใหญ่ๆ ภาพก็ถูกขยายออกไป นอกเหนือจากการฝึกทางการทหารที่จะต้องใช้ตัวประกอบ 1,000 คนที่เป็นคนในพื้นที่แล้ว ก็ต้องการกลุ่มหัวกะทิที่ไม่เพียงจะต้องมีความสามารถทางร่างกายอย่างยอดเยี่ยมที่จะทำให้ฉากการต่อสู้ดูน่ามั่นใจ แต่ยังต้องมีหน้าตาแบบชาวเมดิเตอเรเนียนที่น่าเชื่ออีกด้วย สเมดลีย์ได้สรรหาทหารที่สมบูรณ์แบบจาก Sports Academy ในโซเฟีย เมืองหลวงของประเทศบัลแกเรีย
"ทีมงานคนหนึ่งของผมซึ่งอยู่ที่อัฟริกาใต้ ถูกส่งให้บินไปที่บัลแกเรียและทำการสัมภาษณ์ เพื่อรวบรวมทุกคนเข้าด้วยกัน" สเมดลีย์ทบทวน "เราได้พบกับนักกีฬาราว 250 คน - ตัวโต กล้ามใหญ่ หน้าตาเป็นคนกรีก ที่เราพาบินไปที่เม็กซิโกหนึ่งเดือนก่อนเริ่มถ่ายทำ เราจัดให้พวกเขาเข้ารับการฝึกเป็นเวลาสามอาทิตย์ ซึ่งเริ่มต้นจากการหันซ้ายหันขวา และเรื่อยไปจนถึงการเข้าโจมตีและต่อสู้ เราฝึกคนประมาณ 1,250 คนในเม็กซิโก คน เป็นคนบัลแกเรียน 250 คน และคนเม็กซิกัน 1,000 คน"
มีฉากต่อสู้ครั้งใหญ่สองฉากที่ต้องถ่ายทำกัน รู้จักกันในชื่อการต่อสู้ด้วยสิ่งกีดขวาง และ การต่อสู้ด้วยลูกธนู "ฉากการต่อสู้ด้วยลูกธนูเป็นฉากเด่นระหว่าง ชาวกรีก 50,000 คนกับ ชาวโทรจัน 25,000 คน" เครนกล่าว "พวกโทรจันต่อสู้จากด้านหลังกำแพงแห่งทรอย และต้องพึ่งพลธนูเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาไม่สามารถทำได้ โดยหลักการก็คือหากพวกเขาจะต้องต่อสู้นอกกำแพง พวกเขาก็จะนำกำแพงไปด้วย โดยการใช้เกราะ ดังนั้นเราจึงใส่มันลงไปในท่าการต่อสู้ของเรา ตั้งแต่ต้นจนจบ สงครามอาจใช้เวลาสิบนาที แต่ทั้งสองยูนิตใช้เวลาถ่ายทำกันสี่อาทิตย์"แม้ว่าช็อตยิงธนูส่วนใหญ่ในภาพยนตร์ จะใช้ภาพที่ทำด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อความปลอดภัยก็ตาม แต่ไซมอน อาเธอร์ตัน ผู้ดูแลอาวุธก็ได้รับหน้าที่ดูแลการออกแบบ และสร้างสรรค์ลูกธนู 20,000 ดอก รวมทั้งดาบและหอก 3,000 เล่ม และโล่ห์ 4,000 ใบ
การต่อสู้ครั้งที่สองนั้นมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน "ในฉากการต่อสู้ด้วยสิ่งกีดขวาง" เครนอธิบายว่า "เราตัดสินใจที่จะมีลูกไฟที่ยิงใส่ที่ตั้งค่ายของพวกกรีกจากภูเขาโดยฝ่ายโทรจัน มันเป็นความคิดของเราว่ามันจะเป็นภาพที่สวย ที่จะแยกออกมาจากการต่อสู้อื่นๆ ลูกบอลของเราทำจากกระดาษ และมีชนวนเล็กๆ อยู่ข้างใน เพื่อที่ว่าเมื่อเวลามันกระทบกับอะไร ทีมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คก็จะทำให้เกิดการระเบิด และมีเศษที่กระจายไปทั่วตัวสตันท์"
อีกหนึ่งการต่อสู้ของกลุ่มเล็กๆ ที่สำคัญ ซึ่งถ่ายทำที่เม็กซิโกนั้นก็คือการบุกชายหาด และเข้าปล้นวิหารแห่งอพอลโลของอคิลลิสและกองทหารเมอร์มิดอนของเขา
ฉากหลักที่เป็นการปะทะกันตัวต่อตัว ได้แก่ การต่อสู้ของปารีสกับเมเนลาอุส อคิลลิสกับยักษ์ใหญ่โบอากริอุส และการต่อสู้ซึ่งมีโชคชะตาของสองประเทศเป็นเดิมพัน ระหว่างเฮกเตอร์กับอคิลลิส ต้องใช้ทีมงานจำนวนถึงสามสิบคนเพื่อออกแบบงานต่อสู้ระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่ และพิตต์กับบาน่าก็ซ้อมกันเป็นเวลาสี่ชั่วโมงต่อวันนานถึงแปดอาทิตย์
กองทัพเข้าปะทะกัน และเราได้เห็นกันว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผงาดขึ้นต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว" ปีเตอร์เสนสะท้อนให้เห็น "กลเม็ดของทุกสิ่งที่โฮเมอร์ได้กระทำอย่างชาญฉลาด ก็คืออารมณ์แห่งการรอคอยการต่อสู้นี้ได้ถูกสะสมไว้อย่างมาก จนกระทั่งช่วยไม่ได้ที่เราจะรู้สึกถึงน้ำหนักที่มากมายของการประลองฝีมือครั้งนี้ แม้ว่าเราจะได้เห็นภาพทหารจำนวน 50,000 ปะทะกับทหารอีก 25,000 แต่การต่อสู้ระหว่างสองชายนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ตระการตามากที่สุด และเป็นการต่อสู้ที่น่าทึ่งและน่ากลัวที่สุดจากทั้งหมด"
ไม่มีการใช้ตัวแสดงสตันท์ในการต่อสู้นี้ - ทุกการเคลื่อนไหวเป็นของพิตต์ และบาน่าเองทั้งสิ้น "เวลาที่ได้ดูการต่อสู้ คุณจะไม่เชื่อว่าดาราพวกนี้เป็นคนแสดง" ปีเตอร์เสนกล่าวชมเชย "เราพูดถึงเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตา พูดถึงการต่อสู้จริงๆ ทุกอย่างที่รวมอยู่ในการต่อสู้ของอีริคและแบรดอธิบายถึงสิ่งนั้น"
"แบรด พิตต์ ทุ่มเทเป็นอย่างมาก" เครนเล่าอย่างศรัทธา "เขามีสมาธิกับตัวละครมาก ผมถ่ายวิดีโอการต่อสู้ไว้ แล้วผมก็เอาให้แบรดดูถึงท่าต่อสู้ที่ผมคิดไว้ คุณจะเห็นประกายในตาของเขา และรู้ว่าเขาเข้าถึงมัน - เขาอยู่ในการต่อสู้ เราเคยให้ตัวแสดงสตันท์ซ้อมกันก่อน แต่เมื่อเขาเริ่มที่จะเรียนรู้ มันก็จะกลายเป็นการต่อสู้ที่แตกต่าง เขาทำให้ตัวละครมีชีวิต ส่วนใหญ่เขาจะพูดว่า 'เริ่มต้นได้' ซึ่งมันน่าทึ่งมาก""บ่อยครั้งที่เราได้ทำงานกับภาพยนตร์ที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะต้องเป็นที่หนึ่ง" พิตต์กล่าวชม "และผมขอบอกว่าเป็นความจริงกับ Troy ตั้งแต่ผู้กำกับฯ ลงไป ไซมอน เครนและเด็กๆ ของเขาเก่งมากเท่าที่ผมเคยเห็นมา"
"ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้ทำสำหรับฉากการต่อสู้พวกนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ" บาน่าเห็นด้วย เขาได้รับการฝึกให้ใช้อาวุธเป็นเวลาหกเดือนที่บ้านเกิดของเขาในออสเตรเลียก่อนการถ่ายทำ "ไซมอน เครนกับทีมเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง พวกสตันท์ที่ผมต้องฟาดฟันมีความอึดอย่างน่าทึ่ง พวกเขาลุกขึ้นมาได้ตลอด"
"อีริคเก่งมาก" เครนกล่าว "เขาบอกเราตั้งแต่ต้นว่าเขาไม่ค่อยได้ทำงานต่อสู้ในหนังหลายๆ เรื่องมาก่อน เราจึงคิดแผนการฝึกสำหรับนักแสดงทุกคน และเขาทำได้ดีมาก เขาเคลื่อนไหวอย่างที่เฮกเตอร์เคลื่อนไหว - เขา เป็น เฮกเตอร์ มันง่ายขนาดนั้น"
ยกระดับสงคราม
ผู้คนหลายหมื่นต้องปะทะกันในสนามรบในภาพยนตร์เรื่อง Troy ถึงขนาดที่ว่าถ้านำเอากองทัพของตัวแสดงประกอบ สตันท์ และนักแสดงมารวมกันและฝึกฝนเพื่อทำงานในหนัง ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ครั้งมหึมาของสองกองทัพแห่งนิยาย ดังนั้น ทีมผู้สร้างจึงต้องหันไปพึ่งเวทย์มนตร์แห่งปฏิวัติการวิชวลเอ็ฟเฟ็คสายพันธุ์ใหม่
Troy เป็นหนังที่ใช้ "ตัวแสดงสตันท์เสมือนจริง" เป็นเรื่องแรก ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทวิชวลเอ็ฟเฟ็คชั้นนำ The Moving Picture Company และ Framestore CFC โดยการใช้เทคโนโลยีที่บุกเบิกโดย NaturalMotion ซอฟท์แวร์ที่เรียกว่า "เอ็นดอร์ฟิน" ได้รับการพัฒนาไปสู่ประสาทชีววิทยาของการเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ ซึ่งค้นคว้าโดย แผนกสัตววิทยาของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด โปรแกรมแสนฉลาดนี้ได้สร้างตัวละครเสมือนจริง ที่มีร่างกายซึ่งสนองตอบต่อทุกแรงกระทบได้เหมือนกับมนุษย์จริงๆ - เอ็นดอร์ฟินไม่เหมือนกับตัวละครที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลเฉพาะของตัวการ์ตูน แต่ตัวละครเสมือนจริงจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ รู้สัมผัสและโต้ตอบต่อสิ่งแวดล้อมในแบบเดียวกับที่มนุษย์กระทำ
ขั้นตอนเบื้องหลังความสามารถเคลื่อนไหวและคิดของนักแสดงสตันท์ตัวปลอม เรียกว่า "เทคโนโลยีตัวละครเคลื่อนไหว" ถูกกำหนดไว้ที่ศูนย์กลางของสมองกลที่จำลองระบบการทำงานของสมอง ร่างกาย และประสาทของมนุษย์ ตัวแสดงสตันท์สมจริงจะเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวและโต้ตอบด้วยการใช้วิวัฒนาการเลียนแบบ สะสมความรู้ไว้เมื่อเวลาผ่านไป แบบจำลองกล้ามเนื้อของแต่ละตัวนั้นจะคล้ายกันกับส่วนประกอบที่อยู่ในกล้ามเนื้อของมนุษย์จริง และข้อมูลจะถูกป้อนเข้าไปในระบบประสาทของหุ่นสมองกลที่ส่งคำสั่งไปยังกล้ามเนื้อในร่างกาย เพื่อจะทำให้เกิดคามเคลื่อนไหวที่สั่ง อย่างเช่นการทรงตัวและการกระโดด
เมื่อข้อมูลถูกป้อนเรียบร้อยแล้ว ตัวละครก็จะโต้ตอบด้วยตัวเอง และจะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้สมจริงที่มีความหลากหลายไร้ขีดจำกัดต่องานแอ็คชั่นในฉาก ยกตัวอย่างเช่น เครือข่ายระบบประสาทที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวของทหารในเรื่อง Troy ต่อการถูกโจมตีจากคู่ต่อสู้ เป็นต้นว่าใช้โล่ห์กำบังตัว พยายามรักษาการทรงตัว หรือลุกขึ้นจากการล้ม เทคโนโลยีบันลือโลกนี้ ทำให้ภาพของการปะทะของสองกองทัพในการสู้รบที่ดุเดือดนั้น มามารถเห็นได้ในรายละเอียดและมีมิติที่ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
งานสร้างสรรค์อันแสนเหน็ดเหนื่อย
การสร้างภาพที่โหดร้ายสมจริงของสงครามยุคบรอนซ์ ซึ่งต้องพึ่งพาเป็นอย่างมากจากเครื่องมือที่ไม่มีคม หอก และลูกธนู และดาบ สำหรับในระยะใกล้นั้น ต้องการความคิดสร้างสรรค์จากทีมงานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค "การต่อสู้ใน อีเลียต นั้นโหดเหี้ยม" เครนเน้น "มันถูกเขียนแบบบรรยายความเอาไว้ เราไม่ได้พยายามที่จะบูชาสิ่งนั้น แต่ถ้าหากใครสักคนทุบหัวเราด้วยค้อน มันก็คงเจ็บ และสร้างความบาดเจ็บอย่างมากให้กับใบหน้า และนั่นคือสิ่งที่เราพยายามแสดงให้เห็น ให้คนดูไปนั่งอยู่ในใจกลางของมัน และแสดงให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร"
โจส วิลเลียมส์ ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค และทีมงานได้สร้างสรรค์อวัยวะเทียมหลายแบบ ที่ทำให้ผู้สร้างสามารถถ่ายภาพแอ็คชั่นกราฟฟิคกึ่งพื้นดิน ในขณะที่ไม่ต้องใช้รายละเอียดมากเท่ากับการใช้เมคอัพอวัยวะเทียมที่ถ่ายในระยะใกล้ "เราจัดทำหุ่นที่ใช้อากาศเป็นตัวบังคับ ที่มีแขนขา ลำตัว หัว และช่วงอกเทียม" วิลเลียมส์อธิบาย "หุ่นพวกนี้สามารถใช้แสดงถึงแอ็คชั่นอย่างรถเทียมม้าวิ่งทับขา หรือดาบเสียบทะลุอกใครสักคน"อวัยวะเทียมที่ดูเหมือนจริงเป็นอย่างมากนั้น มีชั้นที่ซ้อนๆ กัน กระดูกทำจากเรซินและโฟม และกล้ามเนื้อทำด้วยขี้ผึ้งที่วางอยู่บนโครง ส่วนแขนขาใส่เลือดปลอมเอาไว้ และหุ้มทับด้วยผิวซิลิโคนทั้งตัว จากนั้นแขนขาเทียมก็จะถูกนำไปยึดไว้กับโครงกระดูกเทียมที่สามารถล็อคให้อยู่ในท่าไหนก็ได้ งานเอ็ฟเฟ็คนี้ดูมีชีวิตอย่างเหลือเชื่อ นอกเหนือจากหุ่นแอนิเมชั่น ได้มีการทำหุ่นเทียมเปลือยร่างจำนวน 30 ชิ้น ร่างถูกไฟไหม้ 30 ชิ้น และหุ่นที่ใส่เสื้อผ้าของชาวกรีกและชาวโทรจันอีกอย่างละ 30 ชิ้น เพื่อใช้เป็นร่างของทหารที่ถูกสังหารในสนามรบ
งานสร้างสรรค์ด้านสเปเชียลเอ็ฟเฟ็คอื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ทำให้การถ่ายทำช็อตที่มีหอกแทงทะลุโล่ห์ ซึ่งอยู่ห่างจากศีรษะของแบรด พิตต์เพียงไม่กี่นิ้ว ให้เป็นไปได้อย่างปลอดภัย โล่ห์ของอคิลลิสหลายเวอร์ชั่นได้ถูกดัดแปลงเพื่อให้เกิดผลของการที่นักรบพยายามยับยั้งการทิ่มแทงที่เต็มไปด้วยด้วยพละกำลังของหอกสองเล่ม "แบรดถือโล่ห์ไว้ด้วยมือของเขา" วิลเลียมส์อธิบาย "และนักแสดงในแบ็คกราวนด์ทำท่าเล็งเหมือนจะขว้างหอกที่จะถูกใส่เพิ่มลงไปในภายหลังโดยทีมเอ็ฟเฟ็ค แล้วแบรดก็จะเหนี่ยวไกซึ่งจะยิงปลายหอกซึ่งอยู่ในกระบอกอัดแรงดันที่ติดอยู่อีกด้านของโล่ห์ ซึ่งจะทะลุผ่านโล่ห์ด้วยความแรงสูง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขาหยุดหอกไว้ได้"
เครนต้องรับอีกหน้าที่ในการคิดค้นในสิ่งที่โดดเด่นให้กับสนามรบอย่างสมจริง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นบรรยากาศที่ไร้รสชาติ "เราต้องวางพัดลมแรงสูงไว้บนพื้นและใส่แตงโมกับซอสมะเชือเทศลงไป และยิงมันออกไปเป็นระยะๆ แล้วก็พ่นก้อนแตงโมผ่านกลุ่มควันสีแดงจำนวนมาก ดังนั้นเวลาที่ใครถูกฟัน ก็จะมีทั้งเลือดและเศษเนื้อกระจายว่อนในอากาศ"
ม้า
เพื่อให้ดูสมจริงกับช่วงเวลา บรรดานักแสดงในเรื่อง Troy ที่ขี่ม้าจะต้องเรียนรู้การขี่ม้าหลังเปล่า การกระทำที่ท้าทายแม้กระทั่งนักขี่ม้าทีเชี่ยวชาญที่สุด เนื่องจากความยากลำบากที่จะทรงตัวบนหลังม้าที่ไม่มีอาน ในฐานะผู้นำแห่งกองทหารอพอลโลที่ทรงเกียรติของทรอย บาน่าจะต้องแสดงถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยมีพลม้าอีก 80 นายอยู่ข้างหลัง จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย "เฮกเตอร์เป็นผู้ที่ทำให้ม้าเชื่อง" ปีเตอร์เสนย้ำ "เขาเป็นนักขี่ม้า และอีริคไม่รู้วิธีขี่ม้าเลย เขาจึงต้องเริ่มตั้งแต่ยังเปะปะ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าได้เกิดมาบนหลังม้าแล้ว"
"ผมเริ่มฝึกตั้งแต่อยู่ที่บ้านในออสเตรเลียหลายเดือนก่อนเราจะเริ่มการถ่ายทำ" บาน่าเล่า "และยังฝึกต่อไปตลอดเวลา ผมต้องโดนรุมจากคนหกถึงแปดคนที่พยายามทำให้ผมตกจากหลังม้า เพื่อฝึกให้ผมไม่ตื่นตระหนกเวลาที่เจอแบบนั้นในฉาก ที่ทั้งคนกับม้าบ้าคลั่ง และมีโอกาสที่จะโดนชนจนตกจากหลังม้าได้ แต่ผมมีวันที่ดีมากในระหว่างการถ่ายทำ - หลายครั้งที่ออร์แลนโด้กับผมได้ขี่ม้าตัวโตที่วิ่งเหยาะไปตามแนวชายหาดโดยไม่มีคนตามเป็นเวลาหลายชั่วโมง แล้วเราก็หันมามองหน้ากันและพูดว่า 'ทำไมมันถึงดีอย่างนี้?'"
จอร์ดี คาแซร์ส ครูฝึกม้า เป็นผู้ฝึกให้กับบรรดานักแสดงและออกแบบท่าสตันท์ที่เกี่ยวกับม้า ใช้เวลาหกอาทิตย์ก่อนการถ่ายทำเพื่อฝึกม้าให้แสดงงานสตันท์ของพวกมัน เรื่องของการควบคุมในคนหมู่มากนับเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการฝึกสัตว์ที่มีความรู้สึกไว
"เรื่องยากที่สุดในการรับมือของผมในหนังเรื่องนี้ ก็คือตอนที่เรามีนักแสดงอยู่บนรถที่เทียมด้วยม้า" คาเซร์สยังจำได้ "ระหว่างการต่อสู้ อาจจะมีตัวประกอบ 500 คนพร้อมหอกและหลาว ที่ล้อมรอบพวกม้า และมันเป็นธรรมชาติที่พวกมันจะตื่นกลัวหอกและไม้ หรือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ม้าอาจจะวิ่งออกไปพร้อมกับคนที่ยืนอยู่บนรถ และก็จะวิ่งพล่านไปทั่ว พวกมันจะชนเข้ากับตัวประกอบ กล้อง อะไรก็ตามที่ขวางหน้า"
เรือ
บรรดาเรือ 1,000 ลำที่ออกเดินทางในการหนีของเฮเลนจากสปาร์ต้านั้น ได้รับการสร้างเพื่อใช้กับงานภาพยนตร์ในหลากหลายรูปแบบ เรือสองลำที่มีอุปกรณ์ครบถ้วน ด้วยความยาว 40 หลา ติดเครื่องยนต์ ถูกสร้างขึ้นในมอลต้า มันทำจากเหล็กและปิดทับด้วยไม้ เพื่อใช้ถ่ายฉากที่อยู่กลางทะเล
"เรือที่ใช้งานได้จริงนั้นนับเป็นความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง" เฟลฟ์สเปิดเผย "ถ้าเราจะให้ดาราและทีมงานขึ้นเรือ มันจะต้องถูกต้องตามระเบียบทุกอย่าง - ต้องได้รับการรับรองและมีเสื้อชูชีพเก็บไว้บนเรือ เราจึงต้องจัดทำตู้เก็บของซ่อนไว้ในที่ลับ และเราก็มีอุปกรณ์มาตรฐานทุกชนิด ซึ่งทำให้มีองค์ประกอบที่สมจริงและการตกแต่งพิเศษ และรายละเอียดที่ทำให้เรือดูน่าเชื่อถือ มันจึงเป็นเรือที่สมบูรณ์ ถูกกฎหมายที่เราได้สร้าง" เนื่องจากเรือสองลำที่ใช้งานในทะเลได้นั้น ต้องถูกใช้แทนบรรดาเรือลำอื่นๆ อีกหลายลำ เฟลฟ์สและทีมงานจึงต้องหาทางที่จะทำให้มันดูแตกต่างในชั่วระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทางออกของพวกเขาก็คือการเปลี่ยนช่องรับแสงที่อยู่ด้านหน้าของเรือทั้งสองลำ และออกแบบรูปกราฟฟิคที่โดดเด่นให้กับเรือหลวงแต่ละลำ กองเรือเมอร์มิดอนของอคิลลิสนั้นง่ายที่จะมองเห็น เพราะพวกมันเป็นเรือที่มีใบสีดำเพียงพวกเดียวในกองทัพ
ในการถ่ายฉากการตั้งค่ายของทหารกรีกบนชายหาดเม็กซิโก เรือสี่ลำได้ถูกสร้างขึ้น - เรือทั้งลำสามลำ และครึ่งลำอีกสอง เนื่องจากว่าพวกมันจะตั้งอยู่บนบกตลอดการถ่ายทำ จึงสามารถใช้ไม้สร้างได้ทั้งหมด ซึ่งมีส่วนทำให้พวกมันดูเหมือนของจริง
ด้วยข้อยกเว้นที่ว่าเรือสองลำเป็นเรือจริง การถ่ายฉากอันยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือกรีกจำนวน 1,000 ลำที่ออกเดินทางไปสู่ทรอยนั้น จึงถูกสร้างด้วยดิจิตัลโดย Framestore CFC บริษัทวิชวลเอ็ฟเฟ็คและคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
(ยังมีต่อ)
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ