(ต่อ4): วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ภูมิใจเสนอ TROY

ข่าวทั่วไป Thursday April 29, 2004 11:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
ฌอน บีน (โอดิสซิอุส) กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติจากการแสดงคู่กับ แฮร์รี่สัน ฟอร์ดในเรื่อง Patriot Games เขาได้แสดงเป็นโบโรเมียในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง Lord of the Rings ผลงานอื่นๆในขณะนี้ได้แก่เรื่อง Ronin แสดงคู่กับ โรเบิร์ต เดอ นีโรและ ยีน เรโน และในเรื่อง Don't Say A Word แสดงกับไมเคิล ดักกลาส บริตตานีย์ เมอร์ฟีย์ กับผู้กำกับการแสดง แกรี่ เฟรดเดอร์ เพิ่งเสร็จจากการทำงานเรื่อง National Treasure กับผู้กำกับฯ จอน เทอเทิลทาบ และผู้อำนวยการสร้าง เจอรี่ บรัคไฮเมอร์ ในเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อหาขุมทรัพย์ที่ถูกฝังไว้เมื่อศตวรรษที่ 1700 ได้รับบทเป็น เอียน ฮาว ผู้สนับสนุนทางการเงินของคณะเดินทาง คู่กับ นิโคลัส เคจ ภาพยนตร์ถ่ายทำกันที่วอชิงตัน ดีซี, ฟิลลาเดลเฟีย และ ลอส แอนเจลิส
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2002 บีนได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Macbeth คู่กับ ซาแมนธา บอนด์ในกรุงลอนดอน เขาได้รับคำชื่นชมจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง Macbeth และทำให้เป็นละครที่ไม่ได้เป็นละครเพลงแต่ที่นั่งเต็มหมดของ West End ในปี 2003 บีนได้แสดงในภาพยนตร์อินดี้เรื่อง The Big Empty คู่กับ จอน ฟาฟโร เคลซี่ย์ แกรมเมอร์ แดริล ฮานนาห์, เรเชล ลีห์ คุก, และ โจอี้ ลอเรน อดัมส์ ที่เปิดตัวครั้งแรกที่ AFI บีนยังแสดงบทรำลึก ในเรื่อง Henry VIII คู่กับ เรย์ วินสตัน และ เฮเลนา บอนฮัม คาร์เตอร์
งานด้านโทรทัศน์ บีนในแสดงในภาพยนตร์ต่างๆมากมาย ได้แก่ ภาพยนตร์ของคาร์ลตันโปรดักชั่นเรื่อง The Sharp Series ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่องอื่นๆของเขาได้แก่เรื่อง Bravo Two Zero, Lady Chatterley, Clarissa, Prince, Tell Me You Love Me, และอื่นๆอีกมากมาย
บีนเคยแสดงกับบริษัทผู้สร้างละครเวทีมากมายเช่น The Royal Court Theatre, Glasgow Citizen Theatre, และ The Royal Shakespeare Company ได้แก่เรื่อง Romeo and Juliet Fair Maid of the West และ A Midsummer Night's Dreamผลงานด้านภาพยนตร์ที่นอกเหนือจากนั้นของบีนได้แก่ เรื่อง Tom and Thomas, Essex Boys, Anna Karennina, Goldeneye, When Saturday Comes, Black Beauty, Caravaggio, Lorna Doone, The Field, Stormy Monday และ Windprints ในบรรดาเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
นักแสดงชาวเมืองดับลินแต่กำเนิด เบรนแดน กลีสัน (เมเนลาอุส) เคยอยากจะเป็นนักแสดงตั้งแต่เขายังเป็นเล็กๆและเริ่มอาชีพนักแสดงด้วยงานแสดงของท้องถิ่นและงานแสดงดนตรีต่างๆ
เมื่ออายุ 18 ปี เขาทดสอบการแสดงที่ Abbey Theatre ที่โด่งดัง เป็นการทดสอบที่น่ากลัวมากจนทำให้เขาทิ้งอาชีพการแสดงไปเป็นครูสอนชั้นมัธยม หลังจากเรียนเป็นเวลา 10 ปี กลีสันได้ตัดสินใจที่กลับไปสู่ฝันของเขาและเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว
ได้แสดงบทเล็กๆในภาพยนตร์ต่างๆได้แก่ เรื่อง The Field, Far and Away, Michael Collins และ The Butcher Boy กลีสันได้รับความสนใจจากผู้ชมในผล แฮมิช เพื่อนผู้อุ้ยอ้ายของ ของวิลเลียม วอลเลซ (เมล กิ๊บสัน) ในเรื่อง Braveheart
เมื่อเร็วๆนี้กลีสันได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ แอนโธนี มินเกลลาเรื่อง Cold Mountain ภาพยนตร์ของแดนนี บอยล์ เรื่อง 28 Days Later และ มาร์ติน สกอร์เซสซีเรื่อง Gangs of New York. ผลงานทางด้านภาพยนตร์เรื่องอื่นๆอีกมากมายของนักแสดงที่มีพรสวรรค์ได้แก่ ภาพยนตร์ของ รอน เชลตันเรื่อง Dark Blue ภาพยนตร์ของจอห์น บอร์แมนเรื่อง Tailor of Panama, Artificial Intelligence: A.I., กำกับการแสดงโดย สตีเวน สปิลเบิร์ก ภาพยนตร์ของจอห์น วูเรื่อง Mission: Impossible II และเรื่อง I Went Down, กำกับการแสดงโดย Paddy Breachnach. ผลงานทางโทรทัศน์ กลีสันได้แสดงในเรื่องThe Treaty, The Snapper และ Kidnapped
ในปี 1998 เขาได้แสดงในเรื่อง The General ให้กับจอห์น บอร์แมนได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติในผลงานการแสดงของเขาที่รับบท มาร์ติน คาฮิลล์ มาเฟียผู้โด่งดังชาวไอริส การแสดงนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Best Actor จาก Boston Society of Film Critics, London Film Critics และ Irish Film and Television Association
กลีสันจะมีผลงานให้ชมเร็วๆนี้ในภาพยนตร์ระทึกขวัญของ เอ็ม. ไนท์ ไชยามาลันเรื่องThe Village ตามด้วยภาพยนตร์ของ รอดลีย์ สก๊อตต์เรื่อง Kingdom of Heaven รวมทั้งภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ของเขาที่แสดงให้กับ จอน บอร์แมนเรื่อง Country of My Skulls
เป็นหนึ่งในบรรดานักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ปีเตอร์ โอ'ทูล (ไปรอัม) เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศในอาชีพการแสดงที่ยาวนานกว่าสี่สิบห้าปี และรวมทั้งการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองถึง 7 ครั้ง
เกิดในไอร์แลนด์และเติบโตในยอร์กไชร์ ประเทศอังกฤษ โอ'ทูลเริ่มอาชีพของเขาเป็นนักหนังสือพิมพ์แต่ต่อมาได้ค้นพบว่ารักในงานละครเวที ซึ่งก้าวไปสู่ละครเวทีครั้งแรกของเขาตอนอายุ 17 ปี หลังจากนั้นเป็นเวลา 2 ปีเขาก็หยุดทำเพื่อมาเป็นนักวิทยุในกองทัพเรือ เขาได้เข้าเรียนใน Royal Academy of Dramatic Arts ที่ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมชั้นบางคนได้กลายเป็นนักแสดงในอนาคตต่อมา - อัลเบิร์ต ฟินนีย์ อลัน บาเตส และทอม เคานท์เนย์
โอ'ทูลได้ใช้เวลา 2 ปีเล่นละครเวทีที่ Bristol Old Vic หลังจากนั้นเขาได้แสดงละครเรื่องแรกบนเวที West End แห่งลอนดอน ในเรื่องThe Long and The Short and The Tall ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล Evening Standard Best Actor Award นอกจากนั้นปีเตอร์ได้ร่วมแสดงกับ Royal Shakespeare Company ที่ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมในการรับบทเป็น "ไชล็อค" ในเรื่อง The Merchant of Venice โอ'ทูลได้แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ของนิโคลัส เรย์เรื่อง The Savage Innocents ออกฉายในปี 1959 ในปี 1962 โอ'ทูลถูกเลือกให้แสดงเป็น ที.อี.ลอร์เรนซ์ในภาพยนตร์มหากาพย์ของเดวิด ลีน เรื่อง Lawrence of Arabia ส่วนหนึ่งสร้างชื่อให้โอ'ทูลเป็นดาราระดับชาติ ต่อจากความสำเร็จนั้นเขาได้แสดงเรื่อง เรื่อง Beckett (ในปี 1964) และ Lord Jim (ในปี1965) โอ'ทูลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในการแสดงของเขาในเรื่อง Lawrence และ Beckett เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในเรื่อง The Lion in Winter, Goodbye Mr. Chips, The Ruling Class, The Stunt Man และ My Favorite Year ผลงานโดดเด่นเรื่องอื่นๆ ได้แก่ ภาพยนตร์ของเบอร์นาโด เบอร์โตลุซซี่เรื่อง The Last Emperor, Murphy's War, Man of La Mancha และมินิซีรีส์เรื่อง Masada ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่เป็นครั้งแรก เขาได้รับรางวัลเอมมี่ในด้าน Best Supporting Actor ในการแสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง Joan of Arc
เมื่อเร็วๆนี้เป็นนักแสดงที่ได้แสดงในภาพยนตร์ของสตีเฟ่น เฟรีย เรื่อง Bright Young Things และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่จากการรับบทเป็น ไฮเดนเบิร์กในมินิซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอมมี่เรื่อง Hitler: The Rise of Evilโอ'ทูลจะมีผลงานเรื่องต่อไปเรื่อง Romeo and Me แสดงร่วมกับเจเน็ต แมคเทียร์ ซึ่งเขาจะเริ่มถ่ายทำกันในต้นเดือนกรกฎาคม
โรส เบิร์น (ไบรซิอีส), เป็นชาวซิดนีย์แต่กำเนิด มีความสามารถเปลี่ยนตัวเองได้เหมือนกิ้งก่าในการรับบทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสู่อีกเรื่องหนึ่ง ด้วยความสวยตลอดกาล ตัวตนในจอ และพรสวรรค์โดยธรรมชาติ ทำให้เธออยู่บนเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่อาชีพนักแสดงฮอลลีวู้ดที่รุ่งโรจน์ พอล แมคกีแกนผู้ที่กำกับการแสดงบายร์นีในเรื่อง Wicker Park บรรยายว่าเธอเป็น "สิ่งเหลือเชื่อ" และ "เป็นนักแสดงหญิงที่ดีที่สุดที่เขาเคยเทำงานด้วย"
เบิร์นจะแสดงในเรื่องต่อไปในดราม่าเข้มข้น เรื่อง Wicker Park คู่กับ จอช ฮารต์เนตต์ แมททิว ลิลลาร์ด และ ไดแอน ครูเกอร์ เรื่องราวของชายคนหนึ่ง (ฮาร์ตเน็ต) ที่ตกอยู่ระหว่างการไล่ตามหญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก (ครูเกอร์) ในขณะที่ถูกปลุกปั่นโดยอีกสาว(เบิร์น) ที่พยายามแยกทั้งสองออกจากกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายในปลายปีนี้
เบิร์นกลายเป็นที่รู้จักในระดับชาติเมื่อเธอได้รับเลือกเป็น ดอร์เม ต้นห้องคนสนิทของ อมิดาล่า (นาตาลี พอร์แมน) ในหนังของจอร์จ ลูคัส เรื่อง Star Wars Episode II: Attack of the Clones. ดอร์เมได้กลายเป็นความนิยมของยุค โดยมีเว็บฟอรัม Dorm? Forever เพื่อเธอ และรวมทั้งการร้องขอออนไลน์ไปยัง Hasbro ผู้ผลิตของเล่นให้จัดทำตุ๊กตาแอ็คชั่นดอร์เมออกจำหน่าย หลังจากเรื่อง Star Wars เธอได้รับบทนำใน I Capture the Castle เรื่องราวโรแมนติคของอังกฤษเมื่อปี 1930 อิงจากหนังสือของโดดี สมิธ
ในอีกสองสามปีถัดมา เบิร์นแสดงในรายการโชว์โทรทัศน์ของออสเตรเลียหลายรายการ ในขณะที่ศึกษาในระดับปริญญาจาก Australian Theatre for Young People และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ได้ศึกษา Arts ที่ Sydney University ในปี 1999 เบิร์นกลายเป็นดาวรุ่งของออสเตรเลีย ด้วยบทบาท อเล็กซ์ ในคอมเมดี้อาชญากรรมของเกรเกอร์ จอร์แดน Two Hands และยังได้แสดงเป็น ฮีธ เลดเจอร์ ซึ่งยังไม่มีใครรู้จักในตอนนั้น หนังกลายเป็นผลงานฮิตและได้รับคำชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์
ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเบิร์น เป็นการรับบทนำครั้งแรกของเธอในภาพยนตร์ของคลารา ลอว์เรื่อง The Goddess Of 1967 ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล Copa Volpi สาขา Best Actress ที่ Venice International Film Festival ในปี1999 หลังจากนั้นเบิร์น ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ในภาพยนตร์เรื่อง My Mother Frank ซึ่งยังแสดงกับไซนีด คูแซค แซม เนลล์ และ แมททิว นิวตัน เบิร์นเดินทางไปกลับระหว่างลอสแอนเจลิสและซิดนีย์ เมื่อเธอได้พักจากการถ่ายทำ เธอใช้เวลาของเธอสนุกไปกับการอ่านหนังสือ เดินทางไกลและพักผ่อนอยู่กับบ้าน
แซฟฟรอน เบอร์โรว์ส (อันโดรมาคี) เริ่มเรียนการแสดงในโรงละครเด็ก ก่อนที่จะแสดงในหนังใหญ่เรื่องแรกของเธอในภาพยนตร์ของ จิม เชอร์ริแดนเรื่อง In the Name of the Father แสดงกับ แดเนียล เดย์-เลวิส เธอได้มาเป็นที่รู้จักของผู้ชมต่างประเทศจากการรับบทครั้งที่สองของเธอ ที่แสดงเป็นหญิงชาวไอริช ถูกล่วงเกินทางเพศโดยชายชาวอังกฤษที่น่าสงสัยในด้านศีลธรรม (โคลิน เฟิร์ธ) ในเรื่อง Circle of Friends แสดงกับ มินนี่ ไดรเวอร์และคริส โอ'ดอนเนลล์
ผลงานภาพยนตร์มีตั้งแต่ดราม่าอย่างการรับบทเป็น มิสจูลีและเรื่อง Timecode , Deep Blue Sea และดราม่าเรื่อง Gangster #1 แสดงกับมัลคอล์ม แมคโดเวลล์ พอล เบตตานีย์ และ เดวิด ธิวลิส เมื่อเร็วๆนี้เธอได้แสดงในภาพยนตร์สุดฮิตของบ็อกซ์ ออฟซิศ ของไมเคิล แอปเต็ด เรื่อง Enigma และแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เรื่อง Frida
Burrows จะเริ่มถ่ายทำในฤดูใบไม้ผลินี้ที่นิวซีแลนด์ในภาพยนตร์เรื่อง Perfect Creature แสดงกับ ดักเรย์ สก๊อตต์
นักแสดงที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง จูลี คริสตี้ (เธติส) เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งเสร็จจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง J.M. Barrie's Neverland แสดงคู่กับ จอห์นนี่ เดบบ์และ เคต วินสเลตต์ และภาคสามของภาพยนตร์ซีรีส์ที่โปรดปรานเรื่อง Harry Potter ในตอน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban
เป็นลูกสาวของเจ้าของไร่ชา คริสตี้เกิดในชูคัว อัสสัมในประเทศอินเดียและเติบโตมาในไร่ชาของพ่อของเธอ จบการศึกษาในประเทศอังกฤษและในยุโรป คริสตี้เรียนที่ Central School of Music and Drama ก่อนที่จะโด่งดังในซีรีส์นวนิยายแนววิทยาศาสตร์เรื่อง A for Andromeda ของ BBC, ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกผนึกเป็นชะตาชีวิตทางการแสดงของเธอในอีกสี่สิบห้าปีต่อมา
คริสตี้ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอกับการรับทเล็กๆในเรื่อง Crooks Anonymous หลังจากการแสดงของเธอในเรื่อง The Fast Lady ของผู้กำกับฯ จอห์นSchlesinger ได้ให้เธอรับบทตัวประกอบในเรื่อง Billy Liar ซึ่งได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์ และในการรับบทสนับสนุนในเวลาต่อมากับหนังในปี 1965 ของเขา เรื่อง Young Cassidy หลังจากปีเดียวกันนั้นชเลซิงเจอร์ ได้ให้ทำให้เธอเป็นดาราด้วยการเลือกให้เธอรับบทนำในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Darling ซึ่งเธอได้รับรางวัลออสการ์ด้าน Best Actress ได้รับรางวัล BAFTA และรางวัล New York Film Critics Circle Award จากการแสดงของเธอ
การเป็นนักแสดงของคริสตี้ต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุดเมื่อเดวิด ลีน เลือกให้เธอรับบทเป็นลาร่าในภาพยนตร์คลาสสิคของเขาเรื่อง Doctor Zhivago ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล David di Donatello Prize ด้าน Best Actress ต่อมาเธอยังได้รับบทคู่ในภาพยนตร์ของ ฟรังซัว ทรัฟโฟ เรื่อง Fahrenheit 451 จากนั้นก็ร่วมงานอีกครั้งกับ Schlesinger แสดงในเรื่อง Far From the Madding Crowd แสดงบทนำในภาพยนตร์ของริชาร์ด เลสเตอร์เรื่อง Petulia
เธอมีอิทธิพลสูงสุดเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงชั้นนำของโลกภาพยนตร์ตลอดยุคปี1970 ในภาพยนตร์ต่างๆเช่น เรื่อง The Go-Between, Nashville และ Don't Look Now. ระหว่างช่วงนี้เธอยังแสดงกับวอร์เรน เบตตี้ในหนังอีกสามเรื่องที่โด่งดังแห่งทศวรรษ : McCabe and Mrs. Miller ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง, Shampoo และ Heaven Can Wait
ผลงานด้านภาพยนตร์ต่อๆมาของเธอได้แก่ เรื่อง Dragonheart ภาพยนตร์ของเคนเนธ บรานัค เรื่อง Hamlet และ Afterglow ซึ่งเรื่องนี้เธอได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สามของเธอคริสตี้ยังคงทำงานละครต่อในเรื่อง Comedy of Errors, Uncle Vanya, Old Times และ Susanna Andler
ทีมงาน
วูล์ฟกัง ปีเตอร์เสน (ผู้กำกับการแสดง/อำนวยการสร้าง) ได้รับฉายา 2001 ShoWest Director of the Year หลังจากผลงานภาพยนตร์ตำนานแห่งท้องทะเลเรื่อง The Perfect Storm (2000) นำแสดงโดย จอร์จ คลูนีย์ และมาร์ค วาห์ลเบิร์ก ซึ่งทำรายได้รวมถึงกว่า $327 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และได้เข้าชิงสองรางวัลตุ๊กตาทอง
ปีเตอร์เสนได้กลายเป็นที่สนใจในระดับนานาชาติเมื่อปี 1981 ในฐานะผู้กำกับฯ แห่งหนังระทึกขวัญเหนือคำบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวใต้น้ำ - Das Boot และจากผลงานเรื่องนี้ทำให้ปีเตอร์เสนได้เข้าชิงสองรางวัลตุ๊กตาทองของ Motion Picture Academy ในสาขา Best Director และ Best Screenwriter ทำให้เขากลายเป็นผู้เข้าชิงรางวัล Best Director คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้สำหรับงานภาพยนตร์ภาษาเยอรมัน เรื่อง Das Boot ได้เข้าชิงถึงหกรางวัลตุ๊กตาทอง และกลายเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศที่ทำรายได้สูงสุด เท่าที่เคยออกฉายในสหรัฐอเมริกาจนถึงขณะนั้นมีชื่อเสียงในผลงานด้านโฆษณา และภาพยนตร์ศิลป์ที่ประสบความสำเร็จจำนานมาก ปีเตอร์เสนกำกับฯ และอำนวยการสร้างภาพยนตร์บ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องฮิต ที่ได้เข้าชิงหหลายรางวัลตุ๊กตาทอง เรื่อง Air Force One (1997) นำแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด, แกรี่ โอล์ดแมน และเกลน โคลส ในปีเดียวกันนั้น เขาได้เป็นผู้ควบคุมงานตัดต่อภาพยนตร์ เวอร์ชั่นผู้กำกับฯ เรื่อง Das Boot ซึ่งได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งโดยได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และคนดูเป็นอย่างมาก
ในปี 1995 ปีเตอร์เสนได้กำกับฯ และอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของวอรืเนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่องฮิต Outbreak นำแสดงโดย ดัสติน ฮอฟแมน, เรเน รุสโซ, และ มอร์แกน ฟรีแมน ผลงานระทึกขวัญคลาสสิค เรื่อง In The Line of Fire (1993) นำแสดงโดย คลินท์, จอห์น มัลโควิช และ เรเน รุสโซ ได้เข้าชองสามรางวัลตุ๊กตาทอง
หลังจากเรื่อง Das Boot ปีเตอร์เสนได้เขียน และกำกับฯ ผลงานแฟนตาซียิ่งใหญ่เรื่อง The Neverending Story (1984) และกำกับฯ หนังอนาคตเรื่อง Enemy Mine (1985) นำแสดงโดย ลูอิส กอสเซ็ท จูเนียร์ และเดนนิส เควด ในตอนที่ย้ายมาอยู่สหรัฐฯ เป็นการถาวร ปีเตอร์สัน ได้เขียนและกำกับฯ งานระทึกขวัญมีสไตล์เรื่อง Shattered (1991) นำแสดงโดย ทอม เบอเรนเจอร์, บ็อบ ฮอสกินส์ และเกรต้า สแคคชี่ ปีเตอร์เสนเริ่มอาชีพภาพยนตร์ของเขา ด้วยการเป็นผู้ชนะรางวัลของ German National Film Prize สาขาผู้กำกับการแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จาก One of Us ในปี 1973 เขาได้กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาประเทศ ในผลงานดราม่าเรื่องราวความขัดแย้งเมื่อปี เรื่อง The Consequence ในปีถัดมาเขาได้รับรางวัล Best Director จาก Paris Film Festival จากเรื่อง Black and White Like Day and Nightภายใต้ชื่อบริษัทภาพยนตร์ของเขา Radiant Productions ปีเตอร์เสนยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bicentennial Man นำแสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์ และอำนวยการบริหารเรื่อง Instinct แสดงโดย แอนโทนี ฮอพกินส์ และคิวบา กู้ดดิ้ง จูเนียร์ รวมทั้งผลงานภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Red Corner กับริชาร์ด เกียร์ Radiant ยังได้ผลิตซีรีส์โทรทัศน์ เรื่อง The Agency
โครงการกำกับฯ ภาพยนตร์เรื่องต่อๆ ไปของเขา ได้แก่ ตำนานการเอาชีวิตรอดเรื่อง Endurance; Shutter Island จากนักเขียนหนังสือขายดีที่สุด เดนนิส เลเฮน; และหนังระทึกขวัญไซ-ไฟ Ender's Game จากนวนิยายคลาสสิค
เขายังมีแผนการที่จะสร้างเรื่อง Whiteout นำแสดงโดย รีส วิทเธอร์สปูน; หนังแอ็คชั่นผจญภัย เรื่อง Cold Shelter กำกับฯ โดย อเล็กซานเดอร์ วิทท์; และหนังรีเมค The Poseidon Adventure
ไดอาน่า แรธบัน (ผู้อำนวยการสร้าง) เริ่มอาชีพภาพยนตร์ด้วยการเป็นเอเย่นต์บทประพันธ์ที่ International Creative Management หลังจากที่ใช้ชีวิตการทำงานช่วงแรกเป็นครูในโมรอคโค และไอโวรี่ โคสต์ และต่อมาทำงานด้านการสื่อสารที่ Quebec Government House ในนิวยอร์ค
เธอร่วมงานกับวอร์เนอร์ บราเดอร์ส ในตำแหน่งผู้บริหารงานโปรดักชั่นเมื่อปี 1991 และก้าวขึ้สู่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ก่อนลาออกเมื่อปี 1999 ผลงานที่ได้สร้างในช่วงที่เธอทำงานอยู่ที่นั่น ได้แก่ Maverick, Conspiracy Theory, Fearless, City of Angels และภาพยนตร์ของวูล์ฟกัง ปีเตอร์เสน เรื่อง The Perfect Storm ซึ่งเธอได้เป็นที่ปรึกษาในภายหลัง
เธอได้พักการทำงานเพื่อการเดินทาง ภายหลังการร่วมงานกับ WB และกลับสู่วงการภาพยนตร์ด้วยการเป็นหุ้นส่วนอำนวยการสร้างกับปีเตอร์เสน เรื่อง Troy เป็นการร่วมหุ้นกันครั้งแรกของทั้งคู่
โคลิน วิลสัน (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงานสร้างล่าสุด ได้แก่ Terminator 3: Rise of the Machines นำแสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาสเนกเกอร์ และแคลร์ เดนส์ และผลงานเรื่องฮิตบ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider
วิลสัน เริ่มทำงานงานภาพยนตร์ ด้วยการเป็นผู้ลำดับภาพ และต่อมากลายเป็น ผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก เรื่อง Jurassic Park ในปี 1993 เขารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างในหนังไลฟ์แอ็คชั่นดัดแปลงจากการ์ตูนโทรทัศน์เรื่องยอดนิยม The Flintstones ก่อนได้เลื่อนเป็นผู้อำนวยการสร้าง ในหนังแอนิเมชั่น ไลฟ์แอ็คชั่นเรื่องฮิต Casper
เขาได้ร่วมงานอีกครั้งกับ The Lost World: Jurassic Park ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างเมื่อปี 1997 และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องใหญ่ของสปีลเบิร์ก Amistad ในปีเดียวกัน ผลงานเรื่องต่อมาของวิลสัน ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ เรื่อง Small Soldiers and The Haunting
(ยังมีต่อ)
-นท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ