L.P.N. เผยผลงานปี 2547 พุ่งทะลุเกินเป้า กวาดยอดขาย 3.5 พันล้าน พร้อมเดินหน้าผุด 5 โครงการยักษ์ในปี 48 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท

ข่าวทั่วไป Thursday January 20, 2005 10:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ม.ค.--แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์
L.P.N. เผยผลประกอบการปี 2547 ภาพรวมโตขึ้น โกยยอดขาย 3.5 พันล้านบาท สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้เกิน เป้าหมาย และรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เป็นผลจากการพัฒนาโครงการที่สอดรับกับความต้องการที่อยู่อาศัยและกลุ่ม เป้าหมาย เผยปี 2548 มุ่งขยายฐานลูกค้าและทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ ด้วย 5 โครงการคุณภาพ มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ย้ำกลยุทธ์โฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน (Focus Strategy) ไม่ก่อปัญหาโอเวอร์ซัพพลายอย่างแน่นอน
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (L.P.N.) เผยผลประกอบการ ปี 2547 ว่า การดำเนินงานของบริษัทสูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสามารถสร้างยอดขายได้มากเกือบ 3,500 ล้านบาท และมีรายได้รวมประมาณ 2,500 ล้านบาท สูงกว่าปี 2546 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,943.58 ล้านบาท เกือบ 30 % ซึ่งการที่บริษัทฯ มีรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพักอาศัยใน 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท โดยบริษัทฯ สามารถส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าได้ตามกำหนดในทุกโครงการ
โดยในปี 2547 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยจำนวนทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 5,400 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัยคุณภาพในเขต CBD แล้ว บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการตามนโยบายในการขยายฐานลูกค้าและทำเลในการพัฒนาโครงการออกไปยังทำเลใหม่ในเขตชุมชนที่มีความหนาแน่นสูงใกล้เขตใจกลางธุรกิจ หรือที่เรียกว่า High Density Out-skirt Area โดยเฉพาะบนทำเลที่ใกล้เส้นทางของระบบขนส่งมวลชน (Mass Transit System) ได้แก่ โครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 77 ย่านอ่อนนุช และโครงการลุมพินี วิลล์ พหล-สุทธิสาร ย่านสะพานควาย ซึ่งทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จอย่างสูงด้านยอดขาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการเปิดตลาดไปยังทำเลใหม่ๆ ก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริง (Real Demand) ในทำเลนั้นๆ นอกจากนี้ ความสำเร็จในการพัฒนาโครงการยังเกิดจากการศึกษาและพัฒนาสินค้าที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Leadership) ทำให้สามารถกำหนดราคาขายที่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าได้ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาด (Event Marketing) ในเชิงรุกที่สร้างความคุ้นเคย ใกล้ชิด น่าติดตาม โดยปรับให้สอดคล้องกับการแข่งขันและสภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละขณะ
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนารูปแบบของอาคารชุดพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิมที่เป็นการพัฒนาในรูปแบบของ Low Rise Condominium คืออาคารชุดพักอาศัยที่มีความสูงไม่เกิน 9 ชั้น มาเป็นรูปแบบ Middle Rise Condominium อาคารชุดที่มีความสูง ไม่เกิน 25 ชั้น โดยมีโครงการลุมพินี เพลส พระราม 3 - ริเวอร์วิวเป็นโครงการนำร่อง เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่อยู่อาศัย ที่มากขึ้น เพิ่มพื้นที่โล่งโดยรอบอาคารที่มากขึ้นด้วย ภายใต้ระยะเวลาการก่อสร้างคงเดิมคือเพียง 1 ปี นอกจากนี้ ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการบริหารต้นทุนซึ่งมีผลโดยตรงต่อราคาขายอีกด้วย
สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2548 บริษัทฯ มีแผนรับรู้รายได้มากกว่า 3,700 ล้านบาท จากโครงการที่เปิดตัวในปี 2547และทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จ และยังมีแผนพัฒนาอาคารชุดพักอาศัยแห่งใหม่ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท โดยแผนงานที่สำคัญในปี 2548 นี้ คือ การเร่งกระจายการพัฒนาโครงการไปยังทำเลใหม่ๆ (New Project Location Expansion) ในเขตชุมชนหนาแน่นใกล้เขตใจกลางเมืองที่แวดล้อมด้วยระบบขนส่งมวลชนและระบบคมนาคมขนส่งที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Small Size Township (ชุมชนเมืองขนาดย่อม) บนทำเลแห่งใหม่ในเขตชุมชนหนาแน่นรอบนอก CBD โดยเน้นความสมบูรณ์พร้อมในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยมและมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยยังคงเน้นฐานลูกค้าระดับกลางบนถึงกลางล่าง โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวใหม่ (Nuclear Family) ซึ่งตัวอย่างของการพัฒนาโครงการในรูปแบบ ดังกล่าว ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 77 โครงการสุดท้ายของปี 2547 และเป็นเฟสต่อเนื่องจากโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 77 ซึ่งได้ปรับรูปแบบจากโครงการแบบ Low Rise Condominium เป็น Middle Rise Condominium สูง 23 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 987 ยูนิตมูลค่าโครงการรวม 1,350 ล้านบาท
ในเดือนมกราคม ปี 2548 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์ เฟส 5 จำนวน 470 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท และจะเปิดตัวอีก 2 โครงการภายในไตรมาสแรกของปี ได้แก่ 1) ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า จำนวน 550 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท 2) ลุมพินี วิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม จำนวน 1,400 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท และจะเปิดตัวอีก 1 โครงการภายในไตรมาส 3 บนถนนพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมต่อจากถนนนราธิวาสราชนครินทร์ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 2,500 ล้านบาท และอีก 1 โครงการในไตรมาส 4 ในรูปแบบของโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ มูลค่า 800 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนในการพัฒนาโครงการใหม่ในนามของบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (Grand U) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนใน Grand U อยู่จำนวน 33.33%
กรรมการผู้จัดการ ยังเปิดเผยต่อไปว่า ในปี 2548 นอกจากการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดด้านการมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ ชัดเจน (Focus Strategy) แล้ว ด้วยการกำหนดระยะเวลาของการพัฒนาโครงการ ซึ่งเน้นกลยุทธ์ด้านความรวดเร็ว (Speed) ในการพัฒนาพร้อมส่งมอบห้องชุดที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานให้กับลูกค้าภายในระยะเวลา 1 ปี ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Leadership) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด ทำให้สามารถกำหนดราคาสินค้าที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเร่งสร้างงานวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ที่ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาโครงการ รวมถึงสร้างฐานลูกค้าที่มีความจงรักภักดี (Brand Loyalty) ด้วยกลยุทธ์ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ตลอดจนการเพิ่มคุณภาพของสินค้าและงานบริการหลังการขาย ภายใต้แนวคิด L.P.N. Standard โดยคำนึงถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ในโอกาสครบรอบการดำเนินงานปีที่ 15 ในปี 2547 ที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการ “15ปี ที่ผูกพัน” เพื่อขอบคุณทั้งในส่วนของลูกค้า สังคม พนักงาน และพันธมิตร เช่น การให้บริการตรวจสอบระบบงานภายในห้องชุดลูกค้าฟรี การมอบอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้ประโยชน์ในอาคาร รวม 13 โครงการ การมอบอุปกรณ์ที่ใช้ในเครื่อง กรองไตแก่สภากาชาดไทย การจัดคอนเสิร์ตการกุศลร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อหาเงินรายได้ให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ การจัดพิมพ์พ๊อคเก็ตบุ๊ค “City Life” เล่มที่ 2 สื่อสารประสบการณ์และเกร็ดความรู้ด้านการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไป และการบริจาคเงินเพื่อประโยชน์ทางสาธารณกุศลต่างๆ ฯลฯ ซึ่งในปี 2548 บริษัทฯ ยังคงมีโครงการต่อเนื่องใน รูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งปี ตามนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ด้านความรับผิดชอบที่มี ต่อสังคม
วิจิตร อวิรุทธิ์, เสาวนีย์ จีระเดชาธรรม, สุปรียา ปิ่นเกตุ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 02-285-5011-6 ต่อ 500, 502 และ 504--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ