"หมวย-อริสรา" อึ้ง "พริก"แก้ปวดเมื่อย แพทย์ศิริราชยันเจ๋ง !

ข่าวทั่วไป Monday July 2, 2012 15:51 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ก.ค.-- สารพัดอาการปวดทั้งหลายไม่ว่าใครต่างเคยโดนพิษสงเล่นงานมาแล้วทั้งสิ้น แต่ปัญหาก็คือแทบไม่มีใครศึกษากันอย่างจริงๆ จังๆ ว่า อาการปวดที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของเราและแผลงฤทธิ์มากบ้างน้อยบ้างจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไรและกินระยะเวลายาวนานเพียงใด แม้ว่าเวลาที่เราเกิดอาการปวดเมื่อย ถ้าเราบ่น หรือ ไปตั้งสเตตัสในเฟสบุ๊คว่าปวดเมื่อยจังเลย ปวดหลัง ปวดขา มักจะมีคนมาคอนเมนต์เหน็บว่า แก่แล้ว อายุมากแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าหนุ่มๆสาวๆ เองเคยได้ลองสังเกตตัวเองบ้างหรือไม่ว่าวันๆหนึ่งตัว เองรู้สึกเมื่อยล้าตามร่างกายกี่ครั้ง โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ชีวิตกว่าครึ่งค่อนวันฝากไว้ใน ออฟฟิศ ติดหนึบอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เช่น ดร.อริสรา กำธรเจริญ หรือ หมวย ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรชื่อดัง เปิดเผยว่า ชีวิตประจำวันของตนนั้น ต้องทำงานตลอดเวลา เช่น ข่าววันใหม่ ทางช่อง 3 และชั่วโมงข่าว TNN ช่วง 18.00 น. และ 21.00 น. ทางช่อง TNN ทรูวิชั่นส์ 07 รวมทั้งพิธีกรต่างๆ เช่น คลับ มันตรา (ททบ. 5) ,ครูสร้างคน คนสร้างโลก (โมเดิร์นไนน์) ซึ่งงานต่างๆ เหล่านี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าและทำการบ้านก่อนจะมาทำงานเสมอ โดยเฉพาะข่าววันใหม่ ทางช่อง 3 ที่ต้องยืนอ่านข่าวเป็นประจำทำให้มีอาการปวดเมื่อยปล้ามเนื้ออยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ เวลาตนปวดเมื่อยก็มักจะเข้าสปาไปนวด ซึ่งก็บรรเทาได้เพียงชั่วคราว แต่หลังจากมาเจอยาสมุนไพรไทย ”แคปซิกา” ที่สร้างมาจากภูมิปัญญาของเภสัชกรไทยเมื่อปีที่ผ่านมากับกลุ่มแพทย์และโรงพยาบาล จนได้รับการยอมรับถึงสรรพคุณในการรัษาอาการปวดต่างๆ เพราะไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างลอยๆ เนื่องจากมีการวิจัยสกัดสาร ”แคปไซซิน” จากพริกพันธ์ “ยอดสนเข็ม 80” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในเมืองไทย โดยมีสรรพคุณทางการแพทย์ในการรักษา คือ ออกฤทธิ์ในการลดอาการปวดต่างๆ ในระดับปลายประสาทอย่างได้ผล ไม่ว่าจะปวดจากข้อเสื่อม ปวดแบบเรื้องรัง หรือปวดปลายประสาทกล้ามเนื้อ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช นายกสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย และ อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ความปวดตามร่างกายนับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ซึ่งทุกครั้งที่รู้สึกมีอาการปวดก็สามารถตีความหมายไ ด้ว่าในขณะนั้นร่างกายได้ส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง และความปวดนี้เป็นโรคที่พบในทุกเพศทุกวัย แต่มีน้อยคนที่จะให้ความสนใจเพราะอาการปวดนั้นไม่ได้ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหรือหากจะมีก็เป็นเพียงส่ว นน้อย แต่เป็นบ่อยๆ เข้าก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ นับเป็นความสำเร็จที่ดีเยี่ยมสำหรับผลการวิจัยโดยใช้สมุนไพรไทย เช่น พริก แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ยาที่ทำมาจากสมุนไพรไทยนั้น สามารถทำให้เกิดการยอมรับในกลุ่มแพทย์ได้จริง และคงช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ใช้ด้วย ด้าน ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกดรัก จำกัด เปิดเผยว่า “บางกอก ดรัก” เป็นบริษัทยาของคนไทยที่ก่อตั้งมานานกว่า 23 ปีแล้ว โดยปัจจุบันได้มุ่งเน้นการต่อยอดนำสมุนไพรไทยมาวิจัยค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อนำมาสกัดและทำเป็นยาชนิดต่างๆ โดยตั้งใจที่จะพัฒนาสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล ให้เป็นที่ยอมรับของแพทย์แผนปัจจุบัน และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ที่ผ่านมาก็ได้มีการวิจัยสกัดสาร ”แคปไซซิน” จากพริกพันธ์ “ยอดสนเข็ม 80” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในเมืองไทย โดยมีสรรพคุณทางการแพทย์ในการรักษา คือ ออกฤทธิ์ในการลดอาการปวดต่างๆ ในระดับปลายประสาทอย่างได้ผล ไม่ว่าจะปวดจากข้อเสื่อม ปวดแบบเรื้องรัง หรือปวดปลายประสาทกล้ามเนื้อ ซึ่งทางบางกอกดรักฯ ก็ได้มีการจดสิทธิบัตรในการสกัดสารแคปไซซินธรรมชาตินี้ไว้แล้วเมื่อปี 2549 ” “นอกจากนี้ ทางภาครัฐและกระทรวงสาธารณะสุข ยังได้มีการส่งเสริมและผลักดันยาสมุนไพรไทยให้ขึ้นเป็นบัญชียาหลักตามโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ผู้ใช้เกิดการยอมรับมากขึ้น ส่วนทางเราเองก็มีการเตรียมขยายตลาดยาสมุนไพรไปสู่ระดับสากลมากขึ้น โดยล่าสุดได้มีการสร้างศูนย์วิจัยและอาคารสกัดยาสมุนไพรที่ จ.ราชบุรี ลงทุนไปกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มาตรฐานการทำยาสมุนไพรชัดเจนขึ้น อย่างเช่น สารแคปไซซินที่เราสกัดได้เองนี้ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยังไม่มีใครทำได้ ก็น่าจะเป็นโอกาสที่เราจะขยายตลาดสู่สากลได้ และผลพลอยได้อีกอย่าง คือช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่เพาะปลูก เพราะเมื่อมีการนำสมุนไพรมาสกัดเป็นตัวยามากขึ้น เราก็คงต้องใช้ผลผลิตมากขึ้น เกษตรกรก็ต้องมีการเพาะปลูกมากขึ้น เลยเป็นการสร้างรายให้เค้าด้วยอีกทาง” ภก.สุวิทย์ กล่าว ด้าน ภก.สุนชัย พจมานเหมาะ “จากที่เราได้มีการวิจัยสกัดสารแคปไซซินสำเร็จเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เราก็ได้มาวิจัยและพัฒนาต่อจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทยาทาบรรเทาปวด ภายใต้ชื่อแบรนด์ ”แคปซิกา” ซึ่งในระยะแรกของการทำตลาด เราเน้นทำกับกลุ่มหมอและโรงพยาบาลก่อน เพื่อให้ได้การยอมรับถึงมาตรฐาน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า ยาสมุนไพร ไม่มีการกำหนดให้วัดปริมาณยาสำคัญที่แน่นอนในการรักษา จึงทำให้แพทย์เลือกที่จะใช้ยาแผนปัจจุบันรักษาคนไข้มากกว่า เราจึงตั้งใจว่าต้องทำให้ยามีมาตรฐานให้ได้ โดยได้มีการจัดอบรมให้ความรู้ การสัมมนาเชิงวิชาการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งหลังจากทำโครงการนี้ไป ทั้งกลุ่มแพทย์ โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลชั้นนำต่างๆ ก็ให้ความสนใจและนำผลิตภัณฑ์เราไปใช้เพื่อจ่ายเป็นยารักษาให้กับคนไข้ ซึ่งก็เป็นเวลาปีกว่าๆแล้ว ที่เราแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ยาที่ทำมาจากสมุนไพรไทยนั้น สามารถทำให้เกิดการยอมรับในกลุ่มแพทย์ได้จริง และคงช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ใช้ด้วย
แท็ก ศิริราช  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ