กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นของเอชเอสบีซี ไตรมาส 3/2555

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 6, 2012 15:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ก.ค.--ธนาคารเอชเอสบีซี ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย : Thailand (Overweight) - เอชเอสบีซี ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยจาก underweight เป็น overweight - ภาพรวมในหลายภาคส่วนสดใสมากขึ้นเป็นลำดับ - นโยบายการเงินเอื้อต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ณ ขณะนี้ แต่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นในปี 2556 เหตุใดจึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย นโยบายการเงินที่เอื้อต่อการเติบโตเศรษฐกิจ (แต่อาจจะเกื้อหนุนต่อเศรษฐกิจน้อยลงในปี 2556) รวมถึงการคาดการณ์ว่าจะเห็นเศรษฐกิจที่เติบโตเกินคาด ความเสี่ยงด้านการเมืองที่คลี่คลายลง และการประเมินมูลค่าที่เอื้อต่อการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น จะส่งผลดีต่อหุ้นไทย ประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค มีขนาดของประชากรที่เหมาะสม และมีนโยบายการคลังหลายเรื่องที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจอย่างง่าย ๆ การเติบโตเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคจะเริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาของประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง และการเปิดประเทศของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาที่ไม่น่าเป็นห่วงนัก นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเอชเอสบีซีเชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงทรงตัวไปอีกหลายไตรมาส จนกว่าจะถึงไตรมาส 4/55 ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 นโยบายการเงินขณะนี้เกื้อหนุนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เราคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้นในปี 2556 แม้ว่าผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจไทยปี 2554 จะไม่เป็นไปตามคาด แต่ผลกำไรในไตรมาสแรกของปี 2555 กลับออกมาดีเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ต้องปรับคาดการณ์ตัวเลขให้สูงขึ้น หลายคนเห็นตรงกันว่าการเติบโตของยอดขายจะใกล้เคียงกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่คำนวณได้ (แต่น้อยกว่าการเติบโตของยอดขายของทั้งภูมิภาค) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในขณะนี้เห็นพ้องว่า การเติบโตของยอดขายจะอยู่ที่ร้อยละ 8.4 และการเติบโตของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ร้อยละ 6.6 ซึ่งส่วนต่างที่ลดน้อยลง (margin) น่าจะเป็นผลมาจากต้นทุนค่าจ้างแรงงาน กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) คาดว่าจะเติบโตเร็วขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีถูกนำมาเข้ามาคำนวณด้วย การเติบโตจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วมใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดไว้จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ดีขึ้น จากการเติบโตที่ดีของผลกำไรของภาคธุรกิจ การลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ อาจสะท้อนว่า การลงทุนของบริษัทอาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าสินเชื่อจะเติบโตราวร้อยละ12-14 โดยมีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งกำลังพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กของไทยเพิ่มขึ้น แม้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน แต่ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ยังคงแข็งแกร่ง อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) ใกล้เคียงกับที่เคยอยู่ในระดับสูงสุดในปี 2554 การรักษาอัตราเติบโตให้อยู่ในระดับสูงเหมือนปีที่ผ่านมา เป็นไปได้ยากในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นปัจจุบัน ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) จึงน่าจะมาจากต้นทุนการปล่อยสินเชื่อที่ดีขึ้น เรายังเชื่อว่าในขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ของไทยยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองดูเหมือนจะลดน้อยลง ประเด็นเกี่ยวกับการเดินทางกลับประเทศไทยของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขณะนี้กลายเป็นคำถามว่าจะกลับมาเมื่อใดมากกว่าจะได้กลับมาหรือไม่ ส่วนระบบการเงินการธนาคารยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากสินเชื่อที่เติบโตได้ดี และหนี้เสียต่ำ เราจึงคาดว่าจะไม่ค่อยมีข่าวเชิงลบสำหรับธนาคารพาณิชย์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วรนันท์ สุทธปรีดา, สาวิตรี หมวดเมือง โทรศัพท์ 0-2614-4609, 0-2614-4606

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ