ผู้ป่วยโรคเบาหวานเสี่ยงมากต่อการเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ งานวิจัยเผยยาวาร์ดีนาฟีล มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาชนิดอื่น

ข่าวทั่วไป Friday July 9, 2004 09:36 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.ค.--เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย)
ข้อมูลจากการศึกษาชุดล่าสุดชี้ว่ายาวาร์ดีนาฟีล สามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานชายที่เป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (อีดี) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจากการรักษาด้วยวิธีอื่น โดยระบุด้วยว่า ผู้ป่วยชายที่กำลังรักษาโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศสูงกว่าชายปกติถึงสามเท่า นอกจากนี้กว่า 50% ของชายที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคอีดีภายใน 10 ปีหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน และมีแนวโน้มว่าโรคอีดีรักษายากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
งานสัมมนาวิชาการทางวิทยาศาสตร์ครั้งที่ 64 ของสมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน (เอดีเอ) ที่เมืองออร์แลนโด เผยผลการศึกษาหลายชิ้นซึ่งสร้างข่าวดีให้ชายที่ป่วยเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและโรคเบาหวาน เพราะชี้ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการรักษาด้วยยาซิลเดนาฟิล ซิเตรตมาก่อน มีโอกาสที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวพอที่จะเสร็จสิ้นการมีเพศสัมพันธ์ถึง 33% เมื่อใช้ยาวาร์ดีนาฟีล เทียบกับ 13% เมื่อใช้ยาหลอก นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่า 58% ของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ใช้ยาวาร์ดีนาฟีล มีอวัยวะเพศแข็งตัวมากขึ้นกว่าการใช้ยาหลอก ผลการศึกษายังอ้างถึงการทดลองที่เรียกว่า PROVEN (Patient RespOnse with VardENafil in Sildenafil Non-Responders) ซึ่งเป็นการประเมินการตอบสนองต่อยาวาร์ดีนาฟีล ในผู้ป่วยโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่ไม่ตอบสนองต่อยาซิลเดนาฟิล
ดร. นพ. อลัน เจ การ์เบอร์ ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์ ชีวเคมีและชีววิทยาระดับโมเลกุล และโมเลกุลและชีววิทยาระดับเซลล์ วิทยาลัยการแพทย์เบย์เลอร์ กล่าวว่า “ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนมากไม่คิดว่าพวกตนมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เราจำเป็นต้องให้คนเหล่านี้ได้รับรู้ความจริงข้อนี้ เนื่องจากครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในภายหลัง ผลการศึกษานี้สำคัญมากเพราะแสดงให้เห็นว่ายาวาร์ดีนาฟีลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ในรายที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ยากต่อการเยียวยา และรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล”
นพ. คัลลี่ ซี คาร์สัน หัวหน้าผู้ตรวจสอบผลการศึกษาและหัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ ประจำโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ที่แชเพิล ฮิลล์ และศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงด้านศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะแห่งสถาบันโรดส์ กล่าวว่า “ผลการศึกษา PROVEN ชี้ชัดว่ายาวาร์ดีนาฟีล มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานหลายรายที่เคยใช้ยาซิลเดนาฟิลไม่ได้ผล การค้นพบเหล่านี้สร้างความหวังให้แก่ผู้ป่วยโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและโรคเบาหวาน
จากการประชุมวิชาการประจำปี 2547 สมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ (ประเทศไทย)
รศ.นพ.อภิชาติ กงกะนันท์ นายกสมาคมฯ กล่าวว่า “เราต้องให้ความรู้แก่ชายไทยที่ประสบปัญหาโรคนกเขาไม่ขัน ให้ไปรับคำปรึกษาจากแพทย์เมื่อพบว่าตนเองมีอาการของโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จากการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีเพียงร้อยละ 3 ที่ไปพบแพทย์ ผลดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากปัจจุบันเราทราบแล้วว่า โรคอีดีเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า ผู้ป่วยมักจะมีอาการของโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แอบแฝงอยู่ ซึ่งมีผลการศึกษาหลายชิ้นแสดงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวาร์ดีนาฟีลที่รายงานว่าออกฤทธิ์เร็ว และมีประสิทธิผลแม้แต่กับผู้ป่วยที่รักษายาก เช่นผู้ป่วยที่ตัดต่อมลูกหมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
บริษัท เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
กษมา ภุมรี / สุจิรา เทวอักษร
โทร. 0-2658-6111-20 ต่อ 118 / 120 แฟกซ์. 0-2658-6122
อีเมล์ : kasama@mdkpr.com / sujira@mdkpr.com--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ