ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ชุดปัจจุบัน และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกัน วงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 9, 2012 17:25 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอนและเพื่อการลงทุนใหม่ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของธุรกิจ ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การรับจ้างบริหารโรงแรมและธุรกิจอาหารแบบแฟรนไชส์ รวมถึงการขยายกิจการในต่างประเทศทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากนโยบายการเติบโตแบบเชิงรุกของบริษัท ตลอดจนลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมและการซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาระหนี้อาจส่งผลในทางลบต่อคุณภาพเครดิตของบริษัท ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลก่อตั้งในปี 2521 โดย Mr. William Ellwood Heinecke บริษัทดำเนินธุรกิจโฮลดิ้งโดยการถือหุ้นในบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจโรงแรมและพัฒนาโครงการ 2) ธุรกิจอาหารบริการด่วน และ 3) ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า โดยประมาณ 41.0% ของรายได้ของบริษัทในปี 2554 มาจากธุรกิจอาหารบริการด่วน ส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรม ธุรกิจจัดจำหน่าย และธุรกิจที่อยู่อาศัย คิดเป็น 31.1%, 11.2% และ10.8% ตามลำดับ ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนมีนาคม 2555 โรงแรมภายใต้การบริหารงานของบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลประกอบด้วยโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 15 แห่ง (2,553 ห้อง) โรงแรมภายใต้การร่วมทุน 13 แห่ง (731 ห้อง) โรงแรมภายใต้สัญญาบริหารโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 38 โรงแรม (5,163 ห้อง) และโรงแรมภายใต้การรับจ้างบริหารจัดการ 9 แห่ง (1,152 ห้อง) โดยโรงแรมของบริษัทตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำใน 9 ประเทศซึ่งครอบคลุมในเขตเอเชียแปซิฟิก อัฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง บริษัทบริหารและดำเนินงานโรงแรมเหล่านี้ภายใต้เครือโรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Mariott , Four Seasons และ St. Regis และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Oaks, Elewana, Naladhu และ Avani สำหรับธุรกิจอาหารบริการด่วนนั้น บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลดำเนินกิจการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 MFG เป็นผู้ดำเนินกิจการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโดยเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศจำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์” “ซิซซ์เล่อร์” “แดรี่ ควีน” และ “เบอร์เกอร์ คิง” รวมทั้งยังบริหาร “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” “เดอะค็อฟฟีคลับ” และ “ไทยเอ็กเพรส” ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของบริษัทเองด้วย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวม 717 แห่ง ตลอดจนร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีกประมาณ 547 แห่งใน 15 ประเทศ นอกจากนี้ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) ยังเป็นบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งของบริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าด้วย โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Esprit, Gap, Bossini, Charles & Keith ฯลฯ ในปี 2554 บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลมีรายได้รวมทั้งสิ้น 26,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการ St. Regis Residence และรายได้ในส่วนของธุรกิจโรงแรมเนื่องจากในช่วงกลางปี 2554 บริษัทได้ซื้อกิจการของ Oaks Hotel & Resorts Ltd. (Oaks) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์สัญชาติออสเตรเลีย อีกทั้งในปีที่ผ่านมาบริษัทยังได้เปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 2 แห่ง คือ Anantara Kihavah ที่เกาะมัลดีฟส์ และ St. Regis ที่กรุงเทพฯ ทำให้รายได้ของธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นจาก 4,322 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 8,135 ล้านบาทในปี 2554 การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในส่วนของธุรกิจโรงแรมมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความสงบเรียบร้อยของเหตุการณ์บ้านเมืองในปีที่ผ่านมา ในส่วนของเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 นั้นไม่มีรายงานความเสียหายในส่วนของโรงแรมของบริษัทแต่อย่างใด มีเพียงยอดขายที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการยกเลิกการจองเข้าพักเท่านั้น ในส่วนของธุรกิจอาหารบริการด่วนซึ่งพึ่งพิงตลาดภายในประเทศและมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมากกว่านั้น รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 12% ในปี 2554 ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายนั้นมีรายได้เพิ่มขี้น 11% เป็น 2,925 ล้านบาทในปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายเครื่องแต่งกาย อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจจัดจำหน่ายลดลงอย่างมากเนื่องจากการปิดโรงงานในช่วงน้ำท่วมและบริษัทมีการตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 176 ล้านบาท สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 31% อันเป็นผลมาจากการดำเนินงานของโรงแรมใหม่ 2 แห่ง คือ Oaks St. Regis และ Anantara Kihavah ในส่วนของอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมนั้นปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 15.2% ในปี 2553 เป็น 15.7% ในปี 2554 สำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% เนื่องจากไตรมาสแรกเป็นช่วงผลประกอบการดีที่สุดของธุรกิจโรงแรม โครงสร้างเงินทุนของบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลอ่อนตัวลงในปี 2554 ในขณะที่สภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยสภาพคล่องเมื่อวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับลดลงจาก 7.5 เท่าในปี 2553 มาอยู่ที่ 5.4 เท่าในปี 2554 แต่ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.8 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับประมาณ 17% ระหว่างปี 2553 ถึงปี 2554 และอยู่ที่ระดับ 7.8% ณ เดือนมีนาคม 2555 ส่วนภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 14,368 ล้านบาทในปี 2553 มาอยู่ที่ 19,824 ล้านบาทในปี 2554 และ 19,661 ในไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจากการซื้อกิจการของ Oaks อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 53.1% ในเดือนธันวาคม 2553 เป็น 59.1% ในเดือนธันวาคม 2554 แต่ปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 56.9% ในเดือนมีนาคม 2555 เนื่องจากส่วนของผุ้ถือหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทมีแผนในการสร้างความเติบโตจากการลงทุนประมาณ 25,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยการลงทุนจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเงินกู้ใหม่บางส่วน ดังนั้นคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนเพื่อไม่ให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงมากจนเกินไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ