กรุงเทพฯ--10 ก.ค.--คณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต
วิกฤติยูโรโซนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้พยากรณ์ออกเป็นสี่กรณี ปัญหาลุกลามขยายวงและผลกระทบยืดเยื้อต่างกันไป ชี้ให้ระวังปัญหา Counter Party Risks ในภาคการเงิน ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจและอาจทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสมากมายหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอก
วิถีทางประชาธิปไตย แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงอย่างชัดเจนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสสามขยายตัวประมาณ 5.2 % จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 6.5% (YOY) ไตรมาสสี่เติบโตระดับ 13% (YOY) จากฐานไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง ดุลการค้าเกินดุลลดลงเหลือเพียง 5 พันล้านดอลลาร์จากการส่งออกที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งการเร่งตัวของการนำเข้าเพื่อการลงทุน ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลกดดันให้เงินบาทอ่อนค่า เตือนค่าเงิน ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงมาก ผลกระทบยูโรโซนและปัจจัยเสี่ยงรุนแรงที่สุดต่อการท่องเที่ยวอัตราการขยายตัวลดลง 5.24% รายได้ท่องเที่ยวเสียหายราว 76,828 ล้านบาท ผลต่อการส่งออกในตลาดยุโรปเชิงมูลค่าเสียหายประมาณ 167,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลง 2.55 %
5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ที่มหาวิทยาลัยรังสิต วิทยาเขตสาทรธานี
คณะเศรษฐศาสตร์ และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์แนวโน้มปัญหาและสภาพผลกระทบของวิกฤติหนี้สินยูโรโซนออกเป็น สี่กรณี เป็นสภาวการณ์ที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูงยิ่ง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างยากหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองภายในเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป เปิดเผยว่า ลักษณะของผลกระทบของวิกฤติยูโรโซนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยในระดับต่างๆกันสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่กรณี กรณีแรก ไม่มีประเทศไหนที่ประสบปัญหาวิกฤติออกจากระบบยูโรโซน ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินไม่ขยายวง กรณีแรกนี้ มีผลกระทบต่อไทยเพียงเล็กน้อยผ่านทางการส่งออก ไม่มีปัญหา Counter Party Risks รุนแรง กรณีที่สอง มีการผิดนัดชำระหนี้บ้างแต่ไม่มีประเทศไหนออกจากยูโรโซน ระดับความรุนแรงของผลกระทบต่อการส่งออกไทยเพิ่มขึ้นและมีผลต่อความผันผวนของตลาดการเงินพอสมควร ต้องติดตามปัญหา Counter Party Risks ใกล้ชิด กรณีที่หนึ่งและกรณีที่สองเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด บทบาทของ Troika (EU-IMF-ECB) จะช่วยควบคุมไม่ให้สถานการณ์วิกฤติลุกลามและขยายวง โอกาสของการเกิดขึ้นของทั้งสองกรณีประมาณ 70% ทั้งสองกรณีจะทำให้อัตราการขยายตัวการส่งออกไทยอยู่ที่ 7-8 % และอัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 5-5.5% (โปรดดูรายละเอียดจากตารางแนบท้ายประเมินความเสียหายของวิกฤติยูโรโซน ) EU-IMF-ECB จะต้องปล่อยกู้เพื่อให้ประเทศกรีซ อิตาลี โปรตุเกสและสเปน สามารถชำระหนี้ที่ครบกำหนดได้ตามเวลา โดยที่ในปี พ.ศ. 2555 ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไปจะมียอดหนี้ครบกำหนดชำระในสี่ประเทศที่เกิดวิกฤติประมาณ 307,441 ล้านยูโร และในปี พ.ศ. 2556 ประมาณ 344,994 ล้านยูโร หากสามารถจัดการไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ได้ ความผันผวนอย่างรุนแรงของตลาดการเงินโลกและภาวะดิ่งลงอย่างแรงของเศรษฐกิจโลกจะไม่เกิดขึ้น
กรณีที่สาม มีการผิดนัดชำระหนี้ ปัญหาวิกฤติระบบสถาบันการเงินขยายวง มีสถาบันการเงินขนาดใหญ่ล้ม แต่ยังไม่ทำให้บางประเทศออกจากระบบเงินยูโร กรณีนี้จะทำให้การขยายตัวของการส่งออกเป็นบวกเพียงเล็กน้อย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 3% กรณีนี้มีความเป็นไปได้ประมาณ 20% กรณีที่สี่ มีการผิดนัดชำระหนี้ ปัญหาวิกฤติการเงินขยายวง มีสถาบันการเงินล้มและมีบางประเทศออกจากระบบเงินยูโร ผลทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกติดลบได้และมีผลทำให้เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 2% อย่างไรก็ตาม กรณีที่สี่นี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นน้อยที่สุด มีโอกาสเกิดขึ้นไม่เกิน 10%
ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ไม่ว่ากรณีไหนในสี่กรณีล้วนทำให้ ภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลงทั้งสิ้นแต่ในระดับที่แตกต่างกัน เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมครึ่งปีหลังเติบโตลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เศรษฐกิจโลกผันผวนสูงมาก เศรษฐกิจโลกจะมีอัตราการขยายตัวได้ที่ระดับร้อยละ 1.5-2.6% ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปรับตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมจากระดับ 118 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นแต่ยังคงอ่อนแอ อาจมีการดำเนินนโยบาย QE3 ในช่วงปลายปีหากสถานการณ์ในยูโรโซนลุกลามมาก แม้นยุโรปได้ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่ที่สุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้ว จากการที่อียูตัดสินใจอนุมัติเม็ดเงินหลายแสนล้านยูโรเพื่อไม่ให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ แต่ปัญหาหนี้ภาครัฐยังคงลุกลามและเกิดปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินในสเปนและปัญหาเศรษฐกิจของอิตาลีเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น ปัญหาเริ่มลุกลามสู่ภาคการเงิน นักลงทุนและประชาชนไม่มั่นใจต่อความมั่นคงของสถาบันการเงิน แห่ไปถอนเงินฝาก ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินด้วยกันเองก็หยุดปล่อยกู้และชะลอการทำธุรกรรมต่อกัน เงินไหลออกจากระบบสถาบันการเงิน จนเกิดปัญหาสภาพคล่องและสถาบันการเงินล้มละลายได้
สถานการณ์วิกฤติสถาบันการเงินหากลุกลามมากจะทำให้เกิดปัญหา Counter Party Risks ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินในยูโรโซน การถูกปรับลดอันดับเครดิตและปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงินในยุโรปส่งผลให้ความสามารถของธนาคารยูโรโซนในการให้ “วงเงินเครดิต” แก่คู่ค้าของไทยในยูโรโซน (ผู้นำเข้าสินค้าจากไทย) รวมทั้งความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้และค่าสินค้า ผู้ส่งออกหรือผู้ทำธุรกรรมกับคู่สัญญาในยูโรโซนอาจดำเนินการอย่างระมัดระวัง รัฐบาลควรมีมาตรการผ่าน Exim Bank เพื่อดูแลผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในยุโรปด้วยหากมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องหรือเครดิต
สเปนและกรีซตกอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจนทำให้อัตราตัวเลขการว่างสูงกว่า 20% สเปนมีอัตราการว่างงานสูงถึง 25% คนสเปนอายุต่ำกว่า 25 ปี จำนวน 1 ใน 2 คน จะตกงาน ปัญหาการว่างงานในอัตราสูงเช่นนี้ นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าแล้ว มีความเสี่ยงสูงต่อความวุ่นวายทางสังคมและการเมือง มวลชนตกงานจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆต่อระบบทุนนิยมโลกปัจจุบัน ปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนน่าจะยืดเยื้อไม่ต่ำกว่า 3-5 ปีเป็นอย่างน้อย
ดร. อนุสรณ์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายไปจนถึงปลายปี 2556 และอาจจะออกมาตรการ QE3 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงปลายปี เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านการคลัง โดยที่ธนาคารกลางยุโรปจะตัดสินใช้วิธีการเข้าซื้อพันธบัตรของสมาชิกยูโรโซนบางประเทศที่มีปัญหาวิกฤติความเชื่อมั่นความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มเติมและอาจใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินมากเป็นพิเศษ (Quantitative Easing) เพิ่มเติมอีก เช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า สภาพคล่องส่วนเกินในตลาดการเงินโลกลดลงจากปัญหาวิกฤตการณ์ภาคการเงินในยุโรป การเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น ตลาดทองคำ ตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอ่อนแอลงจึงทำให้ราคาหุ้น ทองคำและน้ำมันปรับตัวลดลง เอเชียยังคงขยายตัวสูงกว่าภูมิภาคอื่นที่ระดับ 5-5.5%
(เดิม 6.5-6.9%) โดยมีการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศหลักในเอเชีย
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวว่า อุปสงค์ในยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มยูโรโซนอ่อนแอลงอย่างชัดเจน การส่งออกไปยังตลาดยุโรปหดตัวลง 15.4% ในช่วง 4 เดือนแรก และคาดว่าทั้งปีน่าจะติดลบไม่ต่ำกว่า (-5) — (-7%) ไทยส่งออกไปยุโรปประมาณ 23,000 ล้านยูโร คิดเป็น มูลค่าประมาณ 10.5-11% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดและคิดเป็น 7% เมื่อเทียบกับจีดีพี ขณะที่สินเชื่อของธนาคารยุโรปในไทยในช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้วอยู่ที่ 21,000 ล้านยูโรหรือคิดเป็น 6% ของจีดีพี ผลกระทบจะเกิดขึ้นที่ภาคส่งออกเป็นหลัก ภาคการเงินแทบจะไม่มีผลกระทบเลย มีเพียงปัญหา Counter Party Risks เท่านั้นที่อาจทำให้สถาบันการเงินไทยระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นสำหรับกิจการที่มีธุรกรรมกับยุโรปคณะเศรษฐศาสตร์ และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งจะผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลงทุนและการดำเนินนโยบายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป วิเคราะห์ว่า หากเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองด้วยอำนาจนอกระบบอีก ไม่แน่ใจว่า ครั้งนี้ศักยภาพของปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยจะสามารถรองรับได้หรือไม่ อาจทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนมากมายและทำให้เข้าสู่ ทศวรรษแห่งความถดถอยและเติบโตต่ำ ได้ การทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลอยู่ตามวาระจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศและการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเริ่มอ่อนแอลงจากปัจจัยภายนอก (วิกฤติหนี้ยูโรโซนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก) และ ปัจจัยภายใน (ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อหลายปีและผลกระทบมหาอุทกภัยปี 54) สะท้อนจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราการเติบโตของการบริโภคและการลงทุนและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลง คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต จึงปรับเปลี่ยนการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2555 เหลือเพียง 5-5.5% จากที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ระดับ 5.8-6.5% (คาดการณ์ ปลายปี 54และเมษายน ปี 55) โดยจีดีพีไตรมาสสามเติบโตประมาณ 5.2 % (เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 6.5%) จีดีพีไตรมาสสี่ 13% (เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 13%) เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังยังขยายเพิ่มขึ้นจากภาคการลงทุนและการฟื้นตัวหลังน้ำท่วมของภาคการผลิต แต่ถูกกดดันอย่างมากจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะในยุโรปที่ลดลงอย่างชัดเจนทำให้การส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงมีความจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภายในด้วยการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการคลังควบคู่กันไป โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถปรับลดลงได้อีกอย่างน้อย 0.5-1.0% หากเห็นว่าเศรษฐกิจชะลอตัวมากเกินไป เนื่องจากความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อและเสถียรภาพเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ เพื่อการปฏิรูปคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 3-3.5% เท่านั้น
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า ผลกระทบยูโรโซนและปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองรุนแรงที่สุดจะมีผลต่อการท่องเที่ยวอัตราการขยายตัวลดลง 5.24% มีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 555,253 ล้านบาท รายได้ท่องเที่ยวลดลงราว 76,828 ล้านบาทจากกรณีปรกติ จากสถิตินักท่องเที่ยวของกรมการท่องเที่ยวพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางมาประเทศไทยยังคงขยายตัวได้สูงกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดโดยที่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 เดือนแรก เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.27 เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะ ภูมิภาคแอฟริกา อเมริกา และยุโรป เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.46 10.92 และ 10.91 ตามลำดับสถานการณ์วิกฤติหนี้สินยูโรโซนจะส่งผลต่อกำลังซื้อถดถอยและยกเลิกการท่องเที่ยวได้
ผลต่อการส่งออกในตลาดยุโรปเชิงมูลค่าเสียหายประมาณ 167,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลง 2.55%
ดร. นันทรัตน์ ตั้งวิฑูรธรรม นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป และอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว จากวิกฤติยูโรโซนที่เกิดขึ้นอาจขยายไปยังประเทศ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี และสเปน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปจะพบความปั่นป่วนอย่างหนัก และเศรษฐกิจยุโรปอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงอาจมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะ ด้านการส่งออก และการลงทุน คือ การส่งออกที่ชะลอตัวลงจากความต้องการซื้อจากยุโรปที่ลดลง ส่วนภาคการท่องเที่ยว ขณะนี้ยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน จากสถิตินักท่องเที่ยวของกรมการท่องเที่ยวพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางมาประเทศไทยยังคงขยายตัวได้สูงกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมด
การคาดการณ์รายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2555 นี้จึงตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า มีปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ 1) สถานการณ์หนี้ในยูโรโซน และ 2) เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศไทย โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่ เช่น นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล วิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติ เป็นต้น โดยการวิเคราะห์นี้จะมีการสมมติเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ 6 กรณี
กรณีที่ 1: ผลกระทบยูโรโซนเล็กน้อย และการเมืองมีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 596,595 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ประมาณ 1.81%
กรณีที่ 2: ผลกระทบยูโรโซนเล็กน้อย และการเมืองไม่มีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 568,429 ล้านบาท โดยปรับตัวลดลงจากปี 2554 ประมาณ 2.99%
กรณีที่ 3: ผลกระทบยูโรโซนปานกลาง และการเมืองมีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 589,642 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ประมาณ 0.63%
กรณีที่ 4: ผลกระทบยูโรโซนปานกลาง และการเมืองไม่มีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 561,841 ล้านบาท โดยลดลงจากปี 2554 ประมาณ 4.12%
กรณีที่ 5: ผลกระทบยูโรโซนรุนแรง และการเมืองมีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 582,688 ล้านบาท โดยลดลงจากปี 2554 ประมาณ 0.56%
กรณีที่ 6: ผลกระทบยูโรโซนรุนแรง และการเมืองไม่มีเสถียรภาพ คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 555,253 ล้านบาท โดยมีการปรับตัวลดลงจากปี 2554 ประมาณ 5.24%
ดร. ยศ อมรกิจวิกัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวถึงสถานการณ์ภาคการส่งออกในกลุ่มสหภาพยุโรปว่า จากการศึกษาข้อมูลของสำนักงานปลัดพาณิชย์และกรมศุลกากร พบว่าในระหว่างเดือน ม.ค. — พ.ค. 2555 สินค้าอุตสาหกรรม ถือเป็นสินค้าส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรป ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 77.37 ของมูลค่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป โดยมีสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกไปยังสหภาพยุโรปที่สำคัญ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นร้อยละ 19.12) เครื่องใช้ไฟฟ้า (คิดเป็นร้อยละ 13.45) ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (คิดเป็นร้อยละ 7.93) อัญมณีและเครื่องประดับ (คิดเป็นร้อยละ 7.69) สิ่งทอ (คิดเป็นร้อยละ 5.01) และผลิตภัณฑ์ยาง (คิดเป็นร้อยละ 3.87) และหากพิจารณาอัตราการขยายตัวของสินค้าอุตสาหกรรมโดยภาพรวม จะพบว่าติดลบที่ร้อยละ 8.63 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2554 นอกเหนือจากสินค้าอุตสาหกรรม ยังพบว่าสินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 11.02 ของมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า สินค้าดังกล่าวมีอัตราการขยายตัวติดลบที่ร้อยละ 27.13 ส่วนสินค้าประเภทอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่ามีมูลค่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป คิดเป็นร้อยละ 8.9 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 8.18 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2554 ส่วนสินค้าแร่และเชื้อเพลิงพบว่ามีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปค่อนข้างต่ำ คิดเป็นร้อยละ 0.84 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหภาพยุโรป
ดร. อนุสรณ์ ชี้ว่า หากพิจารณาจากกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อาทิ กรีซ ไอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และไซปรัส พบว่าในปี 2554 ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าไปประเทศเหล่านี้ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 54,122 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.78 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยและคิดเป็นร้อยละ 0.51 ของ GDP ในประเทศ) และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างไตรมาสที่ 1/2555 กับไตรมาสที่ 1/2554 พบว่าการส่งออกมีอัตราการเติบโตติดลบถึงร้อยละ 24.96 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณามูลค่าส่งออกในไตรมาสที่ 1/2555 พบว่าประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าในยังประเทศเหล่านี้ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 11,795 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.70 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในไตรมาสที่ 1/2555 และคิดเป็นร้อยละ 0.42 ของ GDP ในไตรมาสที่ 1/2555) ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
ในกรณีที่ปัญหาวิกฤติยูโรโซนได้ขยายวงกว้างไปยังประเทศต่างๆ ที่มีแนวโน้มที่อาจประสบปัญหาดังกล่าวในอนาคต เช่น อิตาลี เบลเยียม ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และเยอรมนี จะพบว่าในปี 2554 ประเทศไทยมีการส่งออกรวมทั้งสิ้น 451,164 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 6.54 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในไตรมาสที่ 1/ 2555 และคิดเป็นร้อยละ 4.28 ของ GDP ในไตรมาสที่ 1/2555) ซึ่งหากพิจารณาในไตรมาสที่ 1/2555 พบว่าประเทศไทยมีการส่งออกรวมทั้งสิ้น 104,576 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 6.18 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในไตรมาสที่ 1/2555 หรือคิดเป็นร้อย 3.74 ของ GDP ในไตรมาสที่ 1/2555) และหากพิจารณาจะพบว่าการส่งออกของไทยไปยังกลุ่มประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป รวมทั้งประเทศที่มีแนวโน้มที่อาจจะได้รับผลพวงจากปัญหาดังกล่าว มีอัตราการเติบโตติดลบถึงร้อยละ 18.73 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2554
ดร. ยศ กล่าวอีกว่า ในกรณีที่วิกฤติยูโรโซนจำกัดในกลุ่มประเทศได้แก่ กรีซ ไอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และไซปรัส จะพบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะลดลง คิดเป็นร้อยละ 0.11 ของ GDP ในประเทศ จากการศึกษาโครงสร้างสินค้าส่งออกไทยไปยังสหภาพยุโรป จะพบว่าสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์จะพบว่าหากรายได้ผู้บริโภคลดลง การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยก็จะลดลงตาม ซึ่งจากวิเคราะห์บนฐานข้อมูลของสำนักงานปลัดพาณิชย์และกรมศุลกากร พบว่าในไตรมาสที่ 1/2555 เครื่องใช้ไฟฟ้ามีอัตราการส่งออกลดลง ร้อยละ 16.69 เครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.33 แต่หากพิจารณาทั้งปี 2554 จะพบว่าการส่งออกเครื่องลิเล็กทรอนิกส์มีอัตราการขยายตัวติดลบร้อยละ 8.94 ส่วนสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมีอัตราการส่งออกในไตรมาสที่ 1/2555 ติดลบร้อยละ 0.62 (ซึ่งหากพิจารณาการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั้งปี 2554 จะพบว่าอัญมณีและเครื่องประดับเคยมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.68) นอกจากนี้สินค้าประเภทสิ่งทอก็มีอัตราการขยายตัวติดลบในไตรมาสที่ 1/2555 ถึงร้อยละ 25.24 ด้วยเช่นกัน
รศ.ดร.ภิรมย์ จั่นถาวร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจภายใต้แรงกดดันการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกว่า (ดูรายละเอียดจากเอกสารแนบ)
ดร. อนุสรณ์ เสนอแนะว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยควรปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5-1% ในกรณีที่ไทยได้รับผลกระทบปานกลางถึงรุนแรงโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น จากการเร่งตัวของการนำเข้าจากภาคการลงทุนและปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี และอาจเห็นเงินบาทแตะ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ในบางช่วง อัตราการนำเข้าขยายตัวที่ระดับ 12-14 % ทำให้การเกินดุลการค้าลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5 พันล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.5-3 พันล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณร้อยละ 1 ของจีดีพี ส่วนภาคการบริโภคโดยรวมขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 3-3.2 ภาคการลงทุนโดยรวมเติบโตได้ในระดับร้อยละ 13-14ดร. อนุสรณ์ กล่าวถึง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยยูโรโซนแต่มีผลกระทบไม่มากเท่าปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศ กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายการปรับลดภาษีนิติบุคคลโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีกำไรจำนวนมากและเคยเสียภาษีจำนวนมาก จะทำให้หลายบริษัทในหลาย Sector จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
Sector ที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร กลุ่มธนาคาร กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง (ได้รับประโยชน์จาก Mega Projects ของรัฐบาล) กลุ่มสถาบันการเงิน (ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของสินเชื่อและส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย) กลุ่มที่มีการชะลอตัวลง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวรับอยู่ในช่วง แนวต้าน ขณะนี้ทิศทางของราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันมาอยู่ที่ 100-110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ิตพลังงานทดแทนได้จะราคาเพิ่ ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ความท้าทายทางนโยบายและการเตรียมรับมือต่อผลกระทบจากวิกฤติยูโรโซนต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มสัดส่วนตลาดอาเซียนในการส่งออกขึ้นอีก เพื่อนำมาชดเชยมูลค่าการส่งออกที่มีแนวโน้มที่ลดลงอันเนื่องมาจากผลพวงของวิกฤตยูโรโซน พัฒนาสินค้าไทยให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค เฉพาะหน้าอาจใช้มาตรการภาษีควบคู่กับการแก้ปัญหา Counter Party Risks ที่อาจเกิดขึ้น
คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ สรุปปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง ทิ้งท้ายว่า
1. มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกวิถีทางประชาธิปไตย โดยใช้กระบวน การยุติธรรม ที่ไม่เป็นธรรม จะทำให้ไทยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมของประเทศและนำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง นองเลือด กระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจ อาจทำให้ไทยก้าวสู่ “ทศวรรษแห่งความถดถอยและเติบโตต่ำ”
2. รัฐบาลอยู่ได้ตามวาระ สามารถประสบความสำเร็จในการสร้างความปรองดองจะทำให้สามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและความได้เปรียบหลายด้านโดยเฉพาะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
3. การถอยคนละก้าวของคู่ความขัดแย้ง จะทำให้ไทยสามารถก้าวข้าวพ้นวิกฤติการเมืองรอบใหม่ และเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่จะมีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ