นายกฯเหินฟ้าสู่ยุโรป ดัน”ครัวไทยสู่ครัวโลก” ปักธงไก่- กุ้ง — อาหาร-โอท็อปไทย เจาะตลาดไฮโซ “มิชลิน”วอนไทยยกเลิกประกาศห้ามนำเข้ายางใช้แล้ว

ข่าวทั่วไป Tuesday July 17, 2012 18:25 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ก.ค.--กรมส่งเสริมการส่งออก นายบุญทรง เตระยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสระหว่างวันที่ 17-22 กรกฎาคมนี้ว่า ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นหัวหน้าคณะเพื่อประชุมและหารือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนใน 2 ประเทศ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และหาลู่ทางขยายตลาดสินค้าอาหารไทยที่มีมูลค่าเพิ่ม การหาตลาดลำไย ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดขาย และผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของไทยสู่สหภาพยุโรป(อียู)เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การส่งออกขยายตัวตามเป้าหมายเพิ่มขึ้น 15% “ภารกิจการขยายการค้าสำคัญ อาทิ หารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่ถึงสถานการณ์ แนวโน้มตลาด การนำเข้าไก่-กุ้งสดจากไทยไปยุโรป การเข้าร่วมงานเทศกาลอาหารไทย ในห้าง คาดิวิ(Kadewe)ซึ่งเป็นห้างหรูระดับบนที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน มีลูกค้าประมาณวันละ 5 หมื่นคน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสจะมีสูงถึง 1 แสนคนต่อวัน โดยส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มีการจำหน่ายอาหารนานาชาติกว่า 34,000 รายการ ในจำนวนนี้เป็นสินค้าไทย 250 รายการ โดยจะจัดส่งเสริมการขายลำใยและโอท็อปเป็นบูธพิเศษควบคู่ไปด้วย”นายบุญทรง กล่าว นอกจากนี้จะร่วมหารือสมาคมพัฒนาทางเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศ ที่มีสมาชิกหลากหลากธุรกิจ 800 รายเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ การขยายการค้าการลงทุน การแลกเปลี่ยนสินค้าทุน การพัฒนาและส่งเสริมสินค้าส่งออก ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวนมากที่สนใจทำการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย และ อาเซียน การเตรียมความพร้อมร้านอาหารไทยเพื่อเข้ารับตรา ไทยซีเล็กซ์ การพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจช่วยนำเข้าและกระจายสินค้าไทยได้มากขึ้น การช่วยสร้างงานให้เยอรมนี จากการขยายธุรกิจของคนไทยในเยอรมนี สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเยอรมนี โดยจัดอบรมการทำธุรกิจให้กับนักธุรกิจไทยในเขตเบอร์ลินและใกล้เคียง รวม 107 ราย ( ร้านอาหารไทย 25 ราย สปา21 ราย ธุรกิจนำเข้าค้าปลีกค้าส่ง 14 ราย สถานเสริมความงาม 5 ราย และอื่นๆ 12 ราย และผู้กำลังจะประกอบธุรกิจอีก 35 ราย) สำหรับในประเทศฝรั่งเศสจะหารือกับกลุ่มบริษัทมิชลินถึงความจำเป็นที่จะให้ไทยยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามนำเข้ายางใช้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมิชลินจะนำเข้าโครงยางเพื่อนำมาหล่อดอกยางและส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งคาดการณ์ว่าต่อไปจะมีความต้องการใช้ยางสูง โดยเฉพาะยางล้อรถบรรทุก ยางรถจักรยานยนต์ ซึ่งแต่ละปีผลิตยาได้กว่า 197 ล้านเส้นต่อปี โดยฝรั่งเศสนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางจากไทย 120.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2554 เพิ่มขึ้น 19%) และ 5 เดือนแรก 43 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 11 % ทั้งนี้การประชาสัมพันธ์แนะนำอาหารไทยให้สื่อของฝรั่งเศส เพื่อขยายตลาดอาหารไทยเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคหลักของชาวฝรั่งเศสที่นิยมและภูมิใจอาหารของตนเอง ดังนั้นกลยุทธ์การสร้างความนิยมร้านอาหารไทย อาหารไทย และการใช้วัตถุดิบเครื่องปรุงไทยกับอาหารชาติต่างๆ จำเป็นต้องใช้สถาบันที่มีชื่อเสียงมาช่วยสนับสนุน ได้แก่ สถาบัน เลอ กอร์ดอง เบลอ (Le Cordon Bleu) เป็นโรงเรียนสอนทำอาหารระดับโลกของประเทศฝรั่งเศส ถือกำเนิดขึ้นในค.ศ. 1895 ปัจจุบันมีโรงเรียนกว่า 30 แห่ง ใน 15 ประเทศ และมีนักเรียนกว่า 20,000 คนต่อปี เยี่ยมชมความร่วมมือกับไทย โดยกรมส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และวิทยาลัยดุสิตธานี ที่ได้จัดหลักสูตรความร่วมมือในสาขาวิชาการจัดการครัวเรือนและภัตตาคาร รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการประกอบอาหารไทย “Professional Thai Cuisine” “ภายในงานจะนำหนังสือตำราอาหาร “ส้มตำ” (Somtum) ซึ่งสถาบันฯ จัดทำขึ้นร่วมกับวิทยาลัยดุสิตธานี ได้รับรางวัลตำราอาหารเอเชียที่ดีที่สุดของโลกประจำปี 2555 จากการประกวดหนังสือตำราประกอบอาหารระดับโลก พร้อมกับกิจกรรมร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai Select 6 ร้าน สาธิตการทำอาหารไทย ร่วมกับเลอกอร์ดองเบลอ ซึ่งมีเซฟมาสาธิตการทำส้มตำ”นายภูมิ กล่าว นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวเสริมว่า ภาพรวมไทยส่งออกมาอียูในปี 54 ที่ส่งออก 24,157 เหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 11 % โดยช่วง 5 เดือนแรก(ม.ค.-พ.ค.)ของปี 55 คิดเป็นมูลค่า 9,143 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(281,550 ล้านบาท) หรือ ลดลง 11% จากปีก่อน เนื่องวิกฤตการเงินในยูโรโซน ซึ่งกรมฯได้ ปรับแผน เพื่อมุ่งเน้นในการทำกิจกรรม เพื่อให้สอดรับตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยในเดือนก.ค.-ก.ย.2555 จะยังคงเน้นกิจกรรมการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัดคณะผู้แทนการค้าไปยังประเทศต่างๆการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การจัดงานแสดงสินค้าไทยในประเทศต่างๆ การผลักดันให้ธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ และการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการไทย โดยมีแผนที่จะดำเนินการรวม 49 กิจกรรม ได้แก่ ในตลาดหลัก 20 กิจกรรม ตลาดศักยภาพสูง 20 กิจกรรม ตลาดศักยภาพระดับรอง 9 กิจกรรม ทั้งนี้เยอรมนีเป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 ของไทยในอียูโดยปี 54 ไทยส่งออก 3,763 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 14 % และ ช่วง 5 เดือนแรกของปี 55 ส่งออก 1,509 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 4 % สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปเยอรมนี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง ไขมันและน้ำมัน เครื่องนุ่งห่ม เครื่องปรับอากาศฯ รถยนต์ เป็นต้น ส่วนฝรั่งเศส ไทยส่งออก 1,882 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6.9% ช่วง 5 เดือนแรก ส่งออก 704 ลดลง 17% สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ยางพารา อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ พร้อมส่วนประกอบ เป็นต้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ