(ต่อ1): วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ A Cinderella Story

ข่าวทั่วไป Tuesday July 20, 2004 14:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
อย่างที่รอสแมนวางไว้ว่า “เขาเป็นเจ้าชายที่ไม่อยากจะเป็นเจ้าชาย”
“พวกเราประทับใจในตัวแชด พวกเราเลื่อนวันเปิดกล้องออกไปเพื่อให้สอดคล้องกับตารางซีรีส์ทางโทรทัศน์ของเขา” รอสแมนเล่าถึงการที่ได้ค้นพบตัวแสดงหลังจากผ่าน ขั้นตอนอัน “ยาวนานและซับซ้อน” “ แชดมีความสามารถในการทำให้เกิดความรู้สึกของความมั่นคงให้กับบทและยังคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นของความเป็นวัยรุ่นและยังทำให้รู้สึกถึงความรักโรแมนติคในเวลาเดียวกัน เขาเป็นนักแสดงที่เข้มงวดแฝงไว้ด้วยความเป็นคนพินิจพิเคราะห์ เขาและฮิลลารี่เป็นบทสรุปของความเข้ากันได้ทางเคมีที่ดีมาก”
มันเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกของสองนักแสดง และเหมือนโชคเข้าข้าง ที่ตารางการถ่ายทำด้วยกันฉากแรกเป็นฉากที่เป็นส่วนตัวและค่อนข้างใกล้ชิดกัน “เราได้เจอกันและยังไม่มีโอกาสได้คุยกันในฉาก” ดัฟฟ์เล่า “และแล้วน่าจะเป็นวันที่สามของการถ่ายทำนะที่เราต้องถ่ายฉากที่มีบทจูบกัน”
“เรารู้จักกันน้อยมาก” เมอร์เร่ย์เสริม “มันเป็นฉากใหญ่ทีเดียว และยังต้องมีฝนตก มีเม็ดฝนที่ร่วงกราวเป็นเม็ดใหญ่ ๆ ของฝนเทียม เพราะเม็ดฝนตามธรรมดาดูแล้วไม่สวยเมื่อมองผ่านมุมกล้อง ผมพูดถึงเม็ดฝนใหญ่กว่าฝนจริงสี่เท่าตกลงมาที่ตัวเราสองคน ลองนึกถึงว่ามีน้ำตกลงมาที่ใบหน้าของคุณทุกครั้งที่คุณพยายามจะสูดลมหายใจในขณะที่คุณกำลังจูบ จะมีฟองอากาศขึ้นมาทางจมูกหรือมีน้ำไหลเข้าไปในปากของคุณ น่าสนุกใช่ไหม?”
“ทุก ๆ คนน่านับถือและ แชดก็เป็นสุภาพบุรุษ เพราะงั้นมันถึงออกมาดีแต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่กำลังจ้องมองเราอยู่” ดัฟฟ์บอก “ก็ใช่นะ มันก็น่าเขินอยู่หรอก” — แต่ในที่สุด แล้วมันก็คุ้มค่าเพราะทั้งคู่ยอมรับว่าความรู้สึกในขณะนั้นเป็นหัวใจ “มันเป็นฉากที่ยอดเยี่ยมและอ่อนหวาน ผมรู้ว่าเมื่อผู้ชมได้ดูเรา พวกเขาจะไม่สนใจเลยว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเราสองคนกันบ้าง” เมอร์เร่ย์เล่า
และในท้ายสุด ซินเดอเรลล่าก็ต้องทนต่อความเสียใจมากมายจากการจูบครั้งนั้นจากการเจ้ากี้เจ้าการของแม่เลี้ยงผู้แสนใจร้ายและน้องสาวต่างมารดา อย่างมากมายจริง ๆ
เมื่อได้รับการถามถึงการเลือก เจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์มารับบทเป็นแม่เลี้ยง ฟิโอน่า
เวอร์เบอร์หัวเราะและตอบเหมือนที่เด็กอายุ 15 ปีทั่วไปจะพูดว่า “เฮ้ นั่นมันแม่ของสติฟเล่อร์” เมื่อได้นึกถึงการแสดงของคูลลิดจ์จากภาพยนตร์เรื่อง American Pie สองเรื่อง คูลลิดจ์ได้เริ่มงานในวงการบันเทิงจากวาไรตี้ตลกจากบทที่ยากจะลบเลือนของแม่ของสติฟเล่อร์และจาก บทบาทช่างแต่งเล็บชื่อ พอลเลต โบนาโฟน จากภาพยนตร์เรื่อง Legally Blode และจากบทของ ชารรี่ แอน วาร์ด คาร์บอต ภรรยาสุดรักของเศรษฐีประหลาดจอมเครียดของสารคดีล้อเลียนยอดนิยมของคริสโตเฟอร์ เกสต์ เรื่อง Best in Show “เจนนิเฟอร์น่าอัศจรรย์สำหรับทุกอย่างที่เธอทำ” ผู้อำนวยการสร้างยอมรับ
“ในมือเธอนั้น” รอสแมนกล่าว “ลักษณะของฟิโอน่านั้นจะต้องตลกและเลวร้ายไปในตัวยังรวมถึงความน่าดูถูกในความน่าสะพรึงกลัวในความที่เป็นเธออีกด้วย ”
คูลลิดจ์ ดีใจมากที่ได้รับบบทนี้ โดยยอมรับว่าเธอโหยหาที่จะเล่นบทร้ายอยู่เสมอ “ฉันมักจะพูดตอนที่ถูกสัมภาษณ์อยู่เสมอว่าฉันอยากเล่นเป็นใครก็ได้ที่เลวร้ายเพราะฉันไม่เคยได้รับโอกาสนั้นมาก่อนเลยและตอนนี้ความปรารถนาของฉันก็สัมฤทธิ์ผล” เธอกล่าว “บทที่น่าสนใจที่สุดคือบทร้าย ฉันอยากรับบทแบบนี้มากกว่านี้ อีก”
ถึงแม้จะขัดกับความรู้สึกที่มากขึ้นทางอารมณ์ ฟีโอน่าจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างเมื่อเรื่องดำเนินไป ในตอนแรกของเรื่องจะอยู่ในภาพของผู้หญิงกระดำกระด่างใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ สีมอ ๆ เธอทุ่มเทเงินให้กับรูปโฉมของเธอทันทีที่สามีของเธอเสียชีวิตและเธอได้รับเงินประกันและเริ่มต้นกับการทำศัลยกรรมรูปแบบต่างๆ รวมถึงทำตา ทำจมูก ดูดไขมัน ทำริมฝีปากที่อวบอิ่ม ใสคอนเทคเลนส์สี โบท๊อกซ์ ดึงรอยย่นและอื่น ๆ อีกมากมายที่จะต้องใช้ความอดทนเยี่ยงแรดเท่านั้นที่ทนได้
“ความอัปลักษณ์ของเธอมาจากข้างใน แต่เธอกลับมัววุ่นวายกับการจัดการกับรูปลักษณ์ภายนอก” คูลลิดจ์ให้ข้อสังเกตุ หลังจากที่แต่งตัวและแต่งหน้าเป็นฟิโอน่าเข้าฉากเธอกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เหตุผลที่ฉันดูน่ารังเกียจในฉากนี้ก็เพราะว่าฉันต้องมีเชือกที่ซ่อนอยู่ใต้ผมคอยดึงหน้าฉันขึ้นไป หน้าฉันตอนนี้ไม่ใช่จมูกและริมฝีปากจริงของฉัน — มีแต่
พลาสเตอร์มาแปะเอาไว้ ”
ปัญหาจากการที่ต้องแต่งหน้า ปลอม คูลลิดจ์ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “คุณจะกินแซนด์วิชมื้อกลางวันไม่ได้เพราะคุณใส่ริมฝีปากปลอมอยู่หรือว่าคุณจะยืนกลางแดดร้อนก็ไม่ได้เพราะจมูกปลอมจะละลาย”
ความภาคภูมิใจของฟิโอน่านั้นอยู่ที่พี่น้องสองสาวฝาแฝด เกบริแอลล่าและไบรแอนน่า ผู้ซึ่งคบคิดกัน ซึ่งรับบทโดย แอนเดรียอา อเวรี่ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอและ แมดเดอรีน ซิม่า ผู้ซึ่งได้มีโอกาสแสดงทางภาพยนตร์โทรทัศน์ตั้งแต่เมื่อเธออายุได้ 5 ขวบหรือบางทีเธออาจจะเป็นที่รู้จักมากกว่าจากบทบาทของ เกรซี่ในภาพยนตร์เรื่อง The Nanny “ฟิโอน่า มีลูกสาวที่แย่มากอยู่สองคน” คูลลิดจ์เล่า “และเธอก็วาดแผนการใหญ่ให้เมื่อสองสาวโตขึ้นเธอทั้งสองจะเป็นนักขุดทองอย่างที่แม่ของเธอเป็น เธอพยายามที่จะสร้างให้สองสาวมีความสามารถพิเศษโดยให้ทั้งสองเรียนการว่ายน้ำเข้าจังหวะ”
“อันที่จริงแล้วพวกเธอเป็นนักว่ายน้ำไม่เข้าจังหวะกันมากกว่า” รอสแมนเสียดสี “แต่แน่นอนอยู่แล้วพวกเธอทั้งสองต่างก็คิดว่าเธอมีความสามารถถึงขั้นโอลิมปิคและมีความสวยงามประจำกาย” และตลอดเวลาพวกเธอวิ่งชนกันไปมาเหมือนปลาดิ้นบนพื้น ต่างคนต่างพยายามแย่งความเด่นซึ่งกันและกัน”
“พวกเราจะเป็นประเภทว่าโง่มากกว่าร้าย เหมือนอยากจะร้าย” อเวอรี่กล่าวยอมรับว่าสองสาวผู้ไร้ซึ่งความสามารถจะตกเป็นเป้าความเกลียดชังอย่างจงใจ “พวกเราต้องจัดฉากให้แซมได้รับความอับอายต้องแกล้งเธอสารพัดและยังต้องปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นผงธุลี - นั่นแหละหน้าที่ของพวกเรา ”
“ฉันจะต้องเป็นคนโง่กว่าในบรรดาสองสาว” ซิม่าสรุป “และในที่สุดฉันก็ต้องเป็นขี้ปากให้คนอื่นหัวเราะในหนังแต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเธอทั้งคู่ไม่ฉลาดเอาจริง ๆ ก็เลยไม่ต้องแข่งขันกันให้มากนัก ”
เว้นจากความน่าอับอายที่สองสาวได้ก่อขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรื่องวุ่นวายไปมานักแสดงสองสาวได้เล่าให้ฟังถึงบางฉากที่น่าสนใจ “เราลองมาใช้เวลาซักนิดเพื่อทบทวนการถ่ายทำที่ผ่านมาจากหนังเรื่องนี้ ” ไซม่าเริ่ม “เออ พวกเราถูกขัด พวกเราต้องผ่านที่ล้างรถที่มีใบพัดที่ตีเราอยู่ตลอดเวลาและยังเต็มไปด้วยฟองสบู่เป็นเวลาถึงสองวันด้วยกัน” “พวก เราต้องสกปรกเลอะเทอะโดยการขว้างปาข้าวของใส่กันและกัน” อเวอรี่เสริม “พวกเราต้องเดินไปมาในชุดแมวเหมียว เป็นสิ่งที่แสนจะทรมานเพราะมันมีแค่สามขาและเราทั้งสองคนเข้าไปอยู่ด้วยกันในชุดนั้น พวกเราวางแผนว่าจะเอามันไปเผาหลังจากการปิดกล้องแล้ว”
ถามถึงฉากที่เธอโปรด? “ของฉันน่าจะเป็นฉากล้างรถนะ” ไซม่าเล่า “แน่นอนต้องเป็นฉากล้างรถ” อเวอรี่ สรุป “มันสนุกจะตายที่ตัวเต็มไปด้วยฟองสบู่และยังได้ต่อสู้แบบแมวเหมียวบนหลังคารถรุ่นลินคอล์น เนวิเกเตอร์และยังจะรถจากัวร์อีกแค่กระหน่ำตีมันเข้าไปและยังไม่ต้องกังวลเรื่องจะต้องจ่ายค่าเสียหายอีกด้วย”
ด้วยครอบครัวที่เป็นแบบนั้น มันทำให้แซมรู้สึกว่าทุกคนต่อต้านเธอแต่เธอกลับผูกพันกับรอนด้า ผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิต พนักงานเสริฟหญิงในร้านอาหารของพ่อเธอและเป็นร้านอาหารของฟิโอน่าในปัจจุบัน บทของรอนด้าแสดงโดย เรจิน่า คิงผู้ซึ่งได้เห็นเหตุการณ์มาหลายปีและเฝ้าดูแซมโตขึ้น เธอทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน การที่ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดีทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แซมสามารถที่จะเป็นตัวเองเมื่ออยู่กับรอนด้า ความน่าสบายอย่างที่เธอไม่เคยรู้ตั้งแต่เมื่อครั้งพ่อเธอยังมีชีวิตอยู่
“ฉันอยู่เพื่อเธอเสมอ” คิงเล่าให้ฟังถึงบทบาทของเธอ “ฉันจะรั้งเธอไว้บ้างถ้ามันจำเป็นแต่อันที่จริงฉันต้องการจะให้เธอเข้าใจบทสรุปด้วยตัวเธอเองว่าเธอจะต้องยืนขึ้นด้วยตัวเธอเองในชีวิตของเธอ และเมื่อเธอพร้อมที่จะเรียนรู้บทเรียนนั้น ฉันก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้าง ฉันเดาว่ารอนด้าน่าจะเป็นเหมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวในเรื่องเทพนิยายซินเดอเรลล่าเว้นแต่ว่าฉันไม่ปรากฏกายในชุดนางฟ้าตัวใหญ่ถือไม้กายสิทธิ์แค่นั้นเอง”
คิงได้เริ่มงานในวงการบันเทิงจากภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลตุ๊กตาทองของ จอห์น ซิงเกิ้ลตั้นเรื่อง Boyz N The Hood และได้ร่วมแสดงกับภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญอีกหลายเรื่องรวมทั้ง เรื่อง Higher Learning เรื่อง How Stella Got her Groove Back เรื่อง Mighty Joe Young และภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดฮิตเมื่อปีที่แล้วเรื่อง Legally Blonde 2 ซึ่งเธอได้ร่วมงานกับผู้ร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง Cinderella อย่างเจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์ เธอยังได้รับบทเป็นภรรยาของคิวบา กู้ดดิ้ง ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลตุ๊กตาทองของ
คาเมรอน คราวน์เรื่อง Jerry Maguire ที่ทำให้เธอได้รับความสนใจจากผู้อำนวยการสร้าง ดิแลน เซลเล่อร์ส ผู้ซึ่งเล่าว่า “เธอเป็นคนที่จะจำได้ในทันที — ดูดี อบอุ่นตลกและใจดี ผมชอบที่จะทำงานกับเธออยู่เสมอ”
มันอาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องที่ทำให้คิงสนใจบทนี้ในตอนแรกแต่คิงเองยอมรับว่าเธอมีเหตุผลอื่นที่จูงใจให้เธอเข้ารับการคัดเลือกตัวแสดงของภาพยนตร์เรื่อง Cinderella “ฉันรู้ว่าลูกชายของฉันต้องปลื้มแน่ถ้าฉันได้ร่วมแสดงหนังกับฮิลลารี่ ดัฟฟ์ แล้วเขาจะต้องพูดว่า แม่รู้ไหมว่าเธอนะสวยมาก”
ในขณะเดียวกันเมื่อช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคำแนะนำของรอนด้ายังมาไม่ถึง แซมต้องพึ่งพาเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอคือ คาร์เตอร์เพื่อจะให้ผ่านชีวิตในแต่ละวันที่แสนจะเคี่ยวเข็ญที่โรงเรียนไปได้เพราะเขาทั้งสองไม่ได้รับการตอบรับจากสังคมเพื่อน ๆ บทบาทของคาร์เตอร์นั้นแสดงโดย แดน เบิร์ด จากภาพยนตร์เรื่อง Any Day Now ซึ่งเป็นบทของนักเรียนที่มองโลกในแง่ดีผู้มุ่งมั่นจะเป็นนักแสดงและเป็นแฟนหนังตัวยงเขาปกป้องตัวเองด้วยการถือเอาเรื่องจากซีรีส์และเพลงยอดฮิตมาเป็นลักษณะประจำตัว - บางเรื่องถึงเป็นแซมเองก็ยังอายที่จะเดินไปไหนด้วย
นักแสดงต่อมาคือ จูลีย์ กอนซาโลซึ่งรับบทเป็นเชลบี้ ผู้ซึ่งมีผมทรงเนี้ยบแต่งกายดีเด่นและมองภาพเป็นหัวหน้าของเชียร์ลีดเดอร์ สาวสวยประจำโรงเรียนและแฟนสาวผู้เรียกร้องของออสติน; และเพื่อน ๆ ที่คอยล้อมหน้าล้อมหลัง ของเชลบี้คือ เคธลินและเมดิสันซึ่งแสดงโดย เคดี้ โคลและเอริก้า ฮับบาร์ด; ร่วมไปถึงเบรด บูแฟนด้าและ เจ ดี ปาร์โด้ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนรักของออสติน เดวิดและ ไรอัน ผู้ซึ่งยังไม่รู้เลยว่าเขาชอบอะไร เควิน คิลเนอร์แสดงเป็นพ่อของออสตินผู้ซึ่งร่ำรวยจากกิจการล้างรถ “Big Andy” ผู้ซึ่งปลงใจจะผลักดันให้ลูกชายของเขาเข้าร่วม ในฟุตบอลยูเอสซี และดูแลกิจการของครอบครัวอย่างเป็นระเบียบแบบแผน; และวิป ฮับลี่ย์ ร่วมแสดงอย่างสั้น ๆ แต่มีความสำคัญคือแสดงเป็นพ่อที่รักแซมและทิ้งคำพูดพิเศษให้กับแซมเพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินชีวิต
การเนรมิตให้ เดอะวัลเล่ย์ ระยิบระยับ: การสร้างฉาก สถานที่ถ่ายทำ และ แนวในการแต่งกายของ ดินแดนอันไกลแสนไกลโพ้น......
ถึงแม้ว่าเรื่องจะสร้างขึ้นโดยอิงความเป็นจริง (สไตล์เซ้าท์เทิร์นแคลลิฟอร์เนีย) ส่วนที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story นั่นคือ การเรียงร้อยเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาดของความเป็นธรรมดากับความมหัศจรรย์ของการดำเนินชีวิต ฝ่ายกำกับศิลป์ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลเอมมี่อย่าง ชาร์ลีส์ บรีน ผู้ซึ่งผลงานสร้างชื่อล่าสุดรวมทั้งการเนรมิตเมืองทะเลทรายลวงตาที่เงียบสงบเพื่อที่จะรองรับแมงมุมอสูรกายกลายพันธุ์ 50 ฟุตในภาพยนตร์เรื่อง Eight Legged Freaks ได้เสนอความคิดที่จะจุดประกายทำให้เกิดความมหัศจรรย์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับ เดอะวัลเล่ย์
“พวกเราต้องการจะให้ลักษณะของแซมแตกต่างออกมาตลอดทั้งเรื่องโดยเน้นสีที่เธอจะใช้ซึ่งในกรณีนี้เป็นสีฟ้า” เขาเล่า “เพราะจากการค้นคว้าของผมบอกว่าสีฟ้าเป็นสีที่เด่นและแสดงเครื่องหมายของผู้ชนะจากเทพนิยายเก่า ๆ” ในการนี้นอกดัฟฟ์จะต้องแต่งกายในโทนสีฟ้าแล้วและ “รายละเอียดทุกอย่างของสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเธอต้องออกเป็นสีทำนองเดียวกันซึ่งรวมทั้งฉากและสิ่งของประดับฉากอีกด้วย ” สำหรับความต่อเนื่องรวมทั้งโทรศัพท์มือถือของเธอที่เธอทำตกไว้ในงานเลื้ยงนั้นอีก “นอกจากนี้เรายังต้องดูแล สีฟ้าออกจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ หรือตัวแสดงอื่น ๆ ด้วย เพื่อที่จะให้สีนี้เป็นสีพิเศษสำหรับเธอ เราต้องสร้างแผ่นผสมสีให้กับส่วนอื่น ๆ ในโลกซึ่งเราเรียกว่า โลกแห่งวัลเล่ย์ ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนของสีเอิร์ทโทน สีเขียว สีเหลืองและสีสนิมซึ่งเป็นสีแนวธรรมชาติและเข้ากับสีพื้นดินได้ดี”
ในการที่จะผสมผสานความเป็นธรรมชาติและความมหัศจรรย์เข้าด้วยกัน สถานที่ถ่ายทำในเรื่อง เป็นตัวแทนทั้งความรู้สึกสมจริงและอื่น ๆ แซมนั้นใช้เวลาทั้งหมดที่เธอตื่นอยู่ที่โรงเรียนและที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ของแม่เลี้ยงของเธอนอกจากห้องนอนโบราณที่เธอต้องนอนแล้ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ วัลเล่ย์เวิร์ด เหมือนกับที่ล้างรถซึ่งเป็นของพ่อของออสติน อเมส เป็นที่ซึ่ง บริแอนน่าและ เกเบรียลล่า ชอบมาแกร่วอยู่ด้วยความหวังที่จะให้ออสตินสนใจ — ถึงมันจะเป็นเหมือนว่ามันจะทำความเลอะเทอะสกปรกให้กับเสื้อผ้าของพวกเธอ
ในทางตรงกันข้าม ฉากห้องโถงของโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเต้นรำคืนสู่เหย้าวันฮัลโลวีน และสถานที่ภายนอกที่แสนจะโรแมนติคสื่อให้เห็นถึงความฝันจนเกือบจะเป็นการหวลรำลึกให้เห็นถึงความรุ่นเรืองของวงการฮอลลิวู้ดสมัยเก่า และยังเติมเต็มด้วยสิ่งก่อสร้างที่เป็นปูนขาว และที่นี่ที่ ๆ เป็นช่วงขณะหนึ่งนอกงานเลี้ยง ดูเหมือนว่าแซม และออสติน ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาขณะนั้นมาลู่อีกโลกใบหนึ่ง
ด้วยความช่วยเหลือจากผู้จัดการทางด้านสถานที่ คือ แพทริค มิคนาโน่ ทีมถ่ายทำได้เก็บสถานที่ให้เช่าในแถบทางใต้ของแคลลิฟอร์เนียไว้หลายที่สำหรับเพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่องของบรีน เริ่มตั้งแต่โรงเรียนมัธยมสไตล์สเปนชื่อมอนโรเวีย ไฮสคูลซึ่งอยู่นอกเมือง ที่ที่การถ่ายทำพอดีกับช่วงเรียนซัมเมอร์ทำให้มีนักเรียนจำนวนหนึ่งเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย “พวกเราตกแต่งหลายที่ที่เราจะถ่ายทำ และเราลงมือทำกันภายในเวลา 10 วัน” บรีนกล่าว “มันเป็นเรื่องธรรมดาเป็นโลกของเด็กคนหนึ่งเป็นงานเป็นชีวิตจริง”
ฉากสุดท้ายในสนามฟุตบอลของโรงเรียนใช้ตัวแสดงประกอบมากกว่า 200 คน บนอัฒจรรย์ ในขณะที่ทีม ลอสแอนเจลิส ยูนิเวอร์ซิตี้ ไซตรัส คอลเลจลงเล่นในสนามโดยเล่นเป็นทีมของโรงเรียมมัธยมของออสติน และทีม เดอะไฟท์ติ้ง ฟร๊อคส์ เป็นคู่แข่ง คือ เดอะแลนเซอร์
สำหรับงานเต้นรำคืนสู่เหย้าวันฮัลโลวีนซึ่งเป็นที่ที่แซมและออสตินได้พบกันในที่สุดนั้น ทางทีมงานได้เลือกโรงละครแห่งประวัติศาสตร์คือ โรงละครลอสแอนเจลิส เป็นสถานที่ถ่ายทำ — โรงละครอันหรูหรากลางเมือง แอล เอ ซึ่งเป็นศิลปะกรรมแบบกอธิคที่สวย สง่า ส่วนโถงต้อนรับ มีลักษณะเด่นคือ สถาปัตยกรรมที่หรูหราบันไดที่กว้างขวางซึ่งนับเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในฉากการเข้ามาในงานของแซม สวนที่เขียวชะอุ่ม อย่าง ฮันติงตั้นการ์เด้นในพาซาดิน่าใช้เป็นส่วนภายนอกงานเลี้ยงที่แซมและออสตินหลบออกจากงานเลี้ยงเพื่อพูดธุระส่วนตัวและเต้นรำกันท่ามกลางแสงดาว “เมื่อคุณมาถึงในงานเลี้ยง” บรีนกล่าวต่อ “พวกเขาเป็นเด็ก ๆ กลุ่มเดิมแต่จากเครื่องแต่งกายและฉากที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์มันกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่งไปเลยทีเดียว”
ทีมงานยังคงใช้สถานที่บริเวณ พาซาดีน่า เป็นสถานที่ถ่ายทำหลายฉากเป็นบ้านของแซม อันที่จริงแล้ว ทำเนียบอัลต้า ดีน่า พร้อมทั้งสถาปัตยกรรมที่เพียบพร้อมเหมือนในวาดไว้ในหนังสือ
บริเวณนอกร้านอาหารเล็ก ๆ นั้นถ่ายทำจากบางมุมที่วุ่นวายของลอง บีช แต่ส่วนภายในนั้นเป็นฉากที่สร้างใน เวที 22 ที่สตูวดิโอของวอร์เนอร์ บราเดอรส์ เพราะร้านอาหารสถานที่จริงที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้นเล็กมากจนทีมงานถ่ายทำไม่สามารถทำงานได้สะดวก เวที 22 ยังได้เป็นฉากสำหรับห้องนอนอันคับแคบของแซมอีกด้วย
การได้ทำงานกับบรีนจากเวทีคอนเสิร์ต ผู้ออกแบบเสื้อผ้า เดนิส วินเกท ผู้ซึ่งไม่นานมานี้ได้ร่วมงานกับเขาในงานของ โรเบริต์ อีสโคฟในภาพยนตร์คอมเมดี้ในปี 1999 เรื่อง She’s All That โดยแต่งกายให้ฮิลลาลี่และผู้ร่วมแสดงของเธอไปในแนวของ “ทันสมัยแต่ไม่ตกยุค ในภาพยนตร์แบบนั้น แฟชั่นต้องเป็นแบบร่วมสมัยแต่เราต้องไม่ใช้เสื้อผ้าที่นำสมัยมากไปนัก” เธอกล่าว “ฉันพยายามเลี่ยงแนวทางที่ฉันรู้ว่ามันจะล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไปซักพักหนึ่ง”
โดยการเลียนแบบจากดารา เธอยอมรับว่า “ฮิลลารี่เป็นผู้นำแฟชั่น และคุ้นเคยกับการถูกมองจากสาธารณะชน เธอเป็นคนที่ระวังทางด้านแฟชั่นและมีดีไซนเนอร์ส่วนตัวที่มีผลงานที่เธอชอบ ฉันรู้สึกดีใจที่มีส่วนในผลงานในเสื้อผ้าที่เธอใส่”
และอย่างที่รอสแมนชี้ให้เห็น “มันไม่เคยเป็นความตั้งใจของเรามาก่อนเลย ที่จะทำเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่ เพราะงั้นความสำคัญจึงไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่จากคนไม่สวยกลายเป็นคนสวยงามน่าสนใจ ความจริงก็คือ เธอมีความน่ารักในตัวตนของความเป็นแซม และในความมุ่งหมายก็คือเธอไม่เคยเชื่อมั่นว่าเธอเป็นคนสวย และเธอยังไม่เชื่อมั่นว่าเธอฉลาดหรือว่าเธอมีโอกาสที่จะได้สิ่งที่เธอต้องการในชีวิตของเธอ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเหมือนจำแลงขึ้นมา” เนื่องมาจากนั้น วินเกทกล่าว จุดมุ่งหมายของเธอคือการสนับสนุนแซมในความก้าวหน้าอย่างแยบยล “โดยการใช้สีนิ่ง ๆ ในตอนแรกและค่อย ๆ เข้มขึ้นทีละน้อยเมื่อความมั่นใจของเธอเพิ่มมากขึ้น เราใช้สีเข้มขึ้นและเข้ารูปมากขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอได้ปลดเปลื้องชั้นของความไร้สาระออกไป”
สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของแซมที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของเธอคือ ชุดราตรีที่สวยงามที่เธอสวมใส่ไปงามเลี้ยงคืนสู่เหย้าวันฮาโลวีน ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้พบหนุ่มบุพเพไซเบอร์ของเธอเป็นครั้งแรก ชุดที่เป็นพิเศษนี้ทำให้เธอดูเด่นตอนเข้าไปในงานเลี้ยงและเป็นจุดสนใจของเพื่อนร่วมชั้น (หรืออิจฉา อย่างที่ เชลบี้พูดว่า “ปิ๊งชุดจังแต่ชังขี้หน้า”)
(ยังมีต่อ)
--อินโฟเควสท์ (นท)--

แท็ก cinderella  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ