ชายไทยเลิกเหล้า…เพื่อแม่

ข่าวทั่วไป Wednesday August 11, 2004 15:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--สสส.
กระแสการรณรงค์งดเหล้า…เข้าพรรษาในปีนี้ไม่เพียงแค่การเชื่อมโยงจิตสำนึกของการเป็นพุทธศานิกชนเข้ากับวันสำคัญทางพุทธศาสนาเพียงเท่านั้น ทางสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนหญิงและสำนักเครือข่ายองค์กรงดเหล้าได้เพิ่มความสำคัญของวันพิเศษ ซึ่งก็คือวันแม่เข้าไปเกี่ยวเนื่องกันด้วย โดยทางสสส.ได้มีการจัดกิจกรรมเลิกเหล้า…เพื่อแม่ ด้วยเพราะเชื่อว่าอย่างน้อยสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของกำลังใจที่นำไปสู่ภาวะการมีจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ และการเป็นที่พึ่งสุดท้ายของลูกผู้ชาย คือ…แม่
พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวถึงการรณรงค์งดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนนี้ว่า ทางมูลนิธิเพื่อนหญิงร่วมกับสำนักเครือข่ายองค์กรงดเหล้าและตระหนักถึงปัญหาจากการดื่มสุราที่ควรได้รับการรณรงค์อย่างจริงจัง จึงเริ่มจากการจัดกิจกรรม”โครงการลดเหล้า : ลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก”เพื่อลดปัญหารอบด้าน ทั้งด้านครอบครัว สุขภาพและสุขภาพจิต ซึงทางมูลนิธิได้ให้ความสนใจของการรณรงค์อย่างต่อเนื่องจนนำมาสู่ “โครงการงดเหล้า เข้าพรรษา” โดยได้ริเริ่มเมื่อปีที่ผ่านมาและได้ผลตอบรับที่ดีเกินคาด
โครงการนี้เป็นการนำหลักพระพุทธศาสนามาเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตประจำวันของสังคมปัจจุบันและเพื่อเป็นการเลิกเหล้าเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ กิจกรรมนี้จึงมุ่งประเด็นไปที่ผู้ชายเลิกเหล้า…เพื่อแม่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักอันสำคัญของกำลังใจ
ส่วนสาเหตุที่เลือกช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ก็เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจของการตั้งปณิธานงดเหล้าอย่างจริงจังเนื่องในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ชี้ให้เห็นว่าการเลิกดื่มแม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อค่อยๆปฏิบัติได้ทีละเล็กละน้อย ก็กลายเป็นแรงกระตุ้นพื้นฐานให้มีการปฏิบัติต่อเนื่องจนผู้ดื่มสามารถเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาด
จริงๆแล้วการเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแฮลกอฮอลล์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่ชอบการสังสรรค์หรือฉลองตามงานเทศกาลจึงมีค่านิยมที่ผิดๆว่าการดื่มสุราตามงานสังคมนั้นเป็นเรื่องที่ปกติ เป็นสื่อนำให้มีเพื่อนมาก แสดงถึงความเป็นคนที่มีสังคม ซึ่งจากกลุ่มที่ดื่มตามเพื่อนหรือเพื่อนชักชวนมีมากถึงร้อยละ 70 จากการสำรวจสถิติของการดื่มของคนไทยจึงพบว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่าอายุของผู้ที่เริ่มดื่มสุรามีอายุน้อยลง ซึ่งหมายถึงเยาวชน นักดื่มหน้าใหม่!!
และปัญหาที่ตามมาอย่างที่ไม่สามารถเลี่ยงได้เลยก็คือ…ปัญหาอาชญากรรมและการก่อความรุนแรงจากการดื่มสุราที่มีเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทั้งนี้ทางมูลนิธิเพื่อนหญิงได้เชิญผู้ที่ผ่านประสบการณ์การดื่มเหล้าอย่างหนักจนเกิดผลกระทบต่อครอบครัวและสุขภาพของตัวเองถึง 5 ท่านมาพูดคุยเล่าเรื่องในอดีตที่เป็นประสบการณ์ในหนึ่งช่วงชีวิตที่ทุ่มเทให้กับขวดเหล้า ซึ่งเป็นการปลุกจิตสำนึก มีแง่คิดที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มดื่มและผู้ที่ดื่มเป็นประจำขณะนี้ นับว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่พบเจอมาอย่างหลากหลาย แต่จุดเริ่มนั้นล้วนมาจากสาเหตุเดียวกันคือ…การดื่มเหล้า
“ผมเริ่มดื่มเหล้าอายุ 14-15 ปี ช่วงแรกเพื่อนซื้อมาก็ชักชวนให้ลอง ต่อมาเริ่มติด จากปริมาณแก้ว กั๊ก แบน จนพัฒนาเป็นขวดกลม ดื่มได้หมดทุกชนิดไม่เว้นแม้แต่เหล้าต้มหรือตามชนบทเรียกว่าเหล้าเถื่อนที่มีดีกรีสูงมาก จำได้ว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์กลับไปเยี่ยมบ้านแต่ไม่เคยได้อยู่ติดบ้านเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ดื่มเหล้าเถื่อนกับเพื่อนๆอีก 3 คน ดื่มติดกันถึง 3 คืน 4 วัน รวมแล้วประมาณ 4 แกลลอน (1 แกลลอนประมาณ 5 ลิตร) จนอาเจียนออกมาเป็นเลือดและนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่นาน แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกเข็ดแต่อย่างใด”นายพรณรง ปั้นทอง อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ชายที่เลิกเหล้าได้ ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาให้เราฟังและพร้อมที่จะจุดประกายความคิดให้กับเพื่อนผู้ชายอีกหลายคนในชุมชนเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์การเลิกเหล้า
พรณรงเล่าต่อว่าเมื่อดื่มหนักมาก แม่จึงจัดให้แต่งงาน เพื่อหวังว่าการมีครอบครัวจะทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นและทำให้ดื่มเหล้าน้อยลง แต่ไม่เป็นเช่นนั้น จนตนเองกระทั่งมีลูก 1 คน ซึ่งกับลูกก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันนักเพราะตนเองกลับบ้านตี 4 ประจำหรือเกือบสว่างทุกวัน ช่วงที่เมาหนักก็อาละวาด ทำลายข้าวของ บางครั้งก็เที่ยวหนัก จนเงินในกระเป๋าไม่มีเหลือ หนักเข้าภรรยาทนไม่ไหวจึงหอบลูกหนี ลูกสาวซึ่งยังเด็กอยู่ก็พูดตามประสาเด็กว่าถ้าทิ้งพ่อไปพ่อจะอยู่อย่างไรเดี๋ยวพ่อตาย ด้วยความที่สำนึกในคำพูดลูกจึงค่อยๆลดการดื่มลงบ้างลง
จากนั้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ เงินที่เคยมีอยู่ก็หมดลงประกอบกับช่วงนั้นภรรยาคลอดลูกอีก 1 คนรวมกับการที่แม่ไม่สบายและขอร้องให้เลิกเหล้า เขาจึงเริ่มคิดว่าควรที่จะเลิกเหล้าอย่างจริงจังเสียที เพราะด้วยปัญหาสุขภาพที่เป็นอยู่ก็เนื่องมาจากพิษของสุราแทบทั้งสิ้น ทุกวันนี้พรณรงบอกว่าเขาลด ละ เลิกเหล้ามามากกว่า 5 ปีแล้วกำลังใจที่ได้ส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวและแม่…
เขาบอกว่าถ้าคิดจะเลิกเหล้า จิตใจที่เข้มแข็งสำคัญที่สุด
วันนี้แม้ว่าพรณรงจะหลุดพ้นจากบ่วงของสุราได้แล้วแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาช่วยเหลือสังคมในการเข้าร่วมเครือข่ายศูนย์ประสานงานอำนาจเจริญ โดยการชักชวนผู้ชายในชุมชนหันมาเลิกเหล้าเช่นเดียวกับเขา เพื่อครอบครัวที่มีความสุขและชุมชนที่แข็งแกร่ง
นายมานัส ปันทรัตน์ อายุ 29 ปี จากเครือข่ายศูนย์ประสานงานจังหวัดเชียงใหม่เล่าว่าเรื่มดื่มเพราะเพื่อนฝูงชักชวนไปตามผับ เธค ประกอบกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ตัวอย่างมาจากพ่อ พี่ชายและน้าชายที่ดื่มเป็นปกติจึงดื่มด้วยเป็นความเคยชิน ต่อมาทุกคนที่ดื่มล้วนประสบเหตุอันเกิดมาจากสุราที่แตกต่างกันไป อาทิ เมาจนลื่นล้มอย่างแรงหรือประสบอุบัติเหตุทางพาหนะถึงแก่ชีวิต ส่วนตนเองดื่มหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลสวนปรุง เข้า-ออกถึง 2 ครั้ง สติสัมปชัญญะช่วงหนึ่งที่เมาขาดหายไป จดจำอะไรไม่ได้ และไม่รู้สึกตัว
การเข้ารพ.ครั้งที่ 2 นี่เองที่ทำให้สังเกตสภาพคนเมาและเกิดจิตสำนึกว่าคนเมามายไม่ได้สติคงมีสภาพเหมือนๆกัน สุขภาพย่ำแย่ จิตใจไม่อยู่ในสภาพปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ตั้งปณิธานอย่างจริงจังว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหล้าอีกตลอดชีวิต ก็คือ…แม่ แม่ผู้เป็นอีกส่วนสำคัญของกำลังใจตลอดมา ณ วันนี้ก่อนที่เขาจะเป็นแกนนำสำคัญของชุมชน ทำประโยชน์สานต่อความตั้งใจจริง ตนเองจึงต้องเป็นตัวอย่างในการเลิกเหล้าก่อน เพื่อที่ทำให้ผู้อื่นเห็นว่าการเลิกเหล้าสามารถทำได้ ขอแค่ตั้งใจจริง…
นับว่าเป็นอีกหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่ดีในการร่วมมือกันของผู้ที่ตั้งใจทำให้สังคมดีขึ้น โดยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้เป็นบทเรียนของผู้อื่นและถึงแม้ว่าในปีนี้ทางมูลนิธิฯยังไม่ได้ตัวเลขสรุปผู้ที่แสดงเจตจำนงค์งดเหล้า…เข้าพรรษาว่ามีจำนวนเท่าไร แต่ประมาณการไว้ว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 50% ของผู้ที่ดื่มเหล้า
และไม่ว่าตัวเลขนี้จะเป็นแค่การคาดคะเนหรือตัวเลขที่ทำได้จริง มูลนิธิฯและเครือข่ายนำร่อง 4 จังหวัดใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชุมพรและชุมชนคนงานพระประแดงยังคงร่วมมือเดินหน้ารณรงค์ต่อไป ท่ามกลางกระแสการโหมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกฮอล์ลที่เป็นแรงชักนำเยาวชน นักดื่มหน้าใหม่เดินเข้าสู่วังวนวัฏจักรสุรา ทั้งนี้เนื่องด้วยพรีเซนเตอร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาราวัยรุ่นที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคมปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามพลังการต้านกระแสการดื่มในกลุ่มเยาวชนของนักศึกษากลุ่มหนึ่งจึงเกิดขึ้นในนาม ”โนนะ คลับ”
นายณัฐพฤทธ์ แก้วพิบูลย์ นิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เล่าสู่กันฟังว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตในมหาวิทยาลัยคือการไหลตามกระแสสังคมเพื่อนผู้ชาย หัดลองดื่มทุกโอกาสที่เอื้ออำนวย แต่ช่วงหลังแม้ว่าอยู่คนเดียวก็ยังคงซื้อมาดื่มประจำ
ต่อมาได้มีโอกาสรู้จักกับชมรมพุทธศาสนา มีโอกาสบวช ได้ฟังเทศน์ของพระอาจารย์ที่คอยสอนเรื่องพระคุณแม่ ความที่จิตสงบจึงเริ่มคิดได้ว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องโกหกหรือปิดบังไม่ให้แม่รู้ตลอดเวลา ช่วงที่ขอขมาแม่ก่อนบวชจึงตั้งปณิธานไว้ว่าหลังสึกแล้วจะเลิกเหล้าตลอดชีวิตและก็ทำได้สำเร็จ เชื่อว่าด้วยพลังของโนนะ คลับจะสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของคนในสังคมได้ว่าการรวมกลุ่มกันไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้า การพูดคุยกันนั้นเหล้าไม่ใช่ประเด็นเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันเสมอไป
ทุกวันนี้โนนะ คลับนับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องในชมรมพุทธฯรวมถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นสังคมกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ไม่มากก็น้อย…--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ