กรุงเทพฯ--29 ส.ค.--กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
จากปัญหาความเลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ที่สะสมกันมาเป็นระยะเวลายาวนานได้สร้างความแตกเเยกให้เกิดขึ้นในสังคมส่วนใหญ่ของประเทศการทำอาชีพเกษตรกรรมส่วนใหญ่ในประเทศที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีมากนัก แต่กลับเป็นปัญหาทำให้เกิดความยากจนในกลุ่มเกษตรกรไทยและดูเหมือนว่าปัญหานี้จะเพิ่มมากขึ้น นับเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนการรองรับการเเข่งขันในประชาคมอาเชียน(AEC) ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปี ถึงเวลาเเล้วที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องมาเตรียมความพร้อม และหาทางออกให้เกษตรกรไทยหลุดพ้นจากความยากจน ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายสมยศ ภิราญคำ รองเลขาธิการรักษาการในตำเเหน่งเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร(กฟก.) กล่าวว่า ภารกิจของ กฟก. มุ่งเน้นปัญหาเรื่อง การจัดการหนี้สินของเกษตรกร การส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรเกษตรกรมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินและความยากจนของเกษตรกร การสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร รวมถึงพัฒนาศักยภาพในการพึ่งตนเองและเกื้อกูลซึ่งกันและกันของเกษตรกร กฟก.ได้เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมจึงจัดให้มี โครงการอบรมส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำนา 1 ไร่ได้ 1 แสน ซึ่งเป็นแนวทางของหอการค้าไทยที่ได้ขับเคลื่อนแนวทางความช่วยเหลือตามนโยบาย “การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม ประเทศไทยให้เเก่เกษตรกรทั่วประเทศ และ กฟก. ถือว่าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรจึงนำหลักการ แนวทางดังกล่าวมาส่งเสริม ถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรอีกเเรงหนึ่งเพื่อให้การดำเนินงานทั่วถึงในทุกพื้นที่ การดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพตามแนวทางของหอการค้าไทย ได้ผลการตอบรับที่ดีในกลุ่มเกษตรกรโดยมีเกษตรกรเข้ารับการอบรมจำนวนมาก รวมถึงนำแนวทาง หลักการการทำนา 1 ไร่ได้ 1 แสน ไปปฎิบัติจริง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถส่งเสริมให้เกษตกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
ในส่วนขั้นตอนการทำนาของเกษตรกร ก็คือแบ่งแปลงนาขนาด 1 ไร่ ออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรก คือ "คันนา" ขนาดความกว้าง 1.5 เมตร ไว้สำหรับปลูกพืชประกอบ เช่น พริก มะนาว มะรุม โดยพืชที่ปลูกบนคันนา จะสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร เหลือจากการขาย สามารถทำเป็นพืชสมุนไพร ใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ส่วน ที่สอง คือขุดร่องน้ำสำหรับทำประมง เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงกบ เลี้ยงหอย ซึ่งมูลสัตว์เหล่านี้จะกลายเป็นปุ๋ยแก่ข้าว ขณะที่ส่วนที่สาม คือพื้นที่สำหรับปลูกข้าว และส่วนที่สี่ คือพื้นที่เลี้ยงเป็ดไข่ จะปล่อยเป็ดไปหากินตามแปลงนาได้
ชาวนาจะปรับสภาพดินโดยใช้จุลินทรีย์ที่คัดมาเป็นพิเศษในห้องทดลอง แล้วทำระบบนิเวศน์ใหม่ให้เหมาะสมกับการเกิดแพลงตอนในนาข้าว ถ้าทำได้ จะทำให้เกิดสาหร่ายสีเขียวที่มีประโยชน์ในนาข้าวเป็นจำนวนมาก พวกสัตว์น้ำทั้งหลาย กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ หามาปล่อยให้มันกินกันเอง และ เมื่อให้ปุ๋ยกับต้นข้าว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือจะมีแมลงปอมาวางไข่เป็นจำนวนมาก กลายเป็นกองทัพอากาศ ทำหน้าที่กำจัดแมลงศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี ส่วนตามคันนา ก็ปลูกพืชที่สร้าง รายได้เสริม เช่น พริก มะนาว ข่า ตะไคร้ มะเขือ หอมแดง หรือมะรุม และเลี้ยงสัตว์ประกอบ เช่น เลี้ยงเป็ดไข่ กบ เพื่อเสริมรายได้
เมื่อเข้าช่วงเก็บเกี่ยว พบว่าได้ข้าวติดรวงเป็นจำนวนมาก มากกว่านั้น ยังขายได้ทั้งพืชอื่น ๆ ที่ปลูกตามคันนาไว้ ขายปลา ขายหอย ขายปู ขายกุ้ง ส่วนข้าวที่ปลูก ขายเป็นข้าวหอมนิล กินแล้วมีสรรพคุณเป็นยา ช่วยต้านทานโรคได้สารพัด นายสมยศ กล่าว.
นายสมยศ กล่าวต่อว่า ส่วนหนึ่งที่ชาวนาที่นี่ทำได้ เพราะผู้เข้าร่วมโครงการส่วนมากเป็นเกษตรกรที่มีความรู้ เพราะส่วนใหญ่เป็นสมาชิกเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน พวกเราใช้หลักนิเวศวิทยา ไม่มีการใช้สารเคมี แต่เราน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการทำการเกษตรแทน
ส่วนประเมินรายได้เสริมของเกษตรกรตามขั้นตอนการทำนา 1 ไร่ได้ 1 แสน ยกตัวอย่างเช่น รายได้จากการเลี้ยงปลา ก็จะมีรายได้ประมาณ 5,000-6,000 บาท เช่น ปล่อยปลาหมื่นตัว นับอัตราการตาย 30% ก็เหลือราว 7 พันตัว ถ้าคิดตัวละ 10 บาท มีรายได้ 7 หมื่นบาท ถ้าเกษตรกรเลี้ยงเป็ดก็จะมีรายได้เพิ่ม เช่น เป็ด 50 ตัว ให้ไข่วันละ 38-43 ฟอง ขายฟองละ 3 บาท เป็นเงิน 144 บาทต่อวัน ส่วนผลประโยชน์บนคันนา เช่น พริก สะระเเหน่ กระเทียม หอม ผักชีลาว ถั่วพลู กระชาย เป็นต้น สามารถนำไปกินในครอบครัวได้เป็นการหยุดรายจ่าย หรือสามารถนำไปขายกลายเป็นรายได้เสริมจากการทำนาอีกด้วย
นอกจากสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นเเล้ว สิ่งที่กลุ่มเกษตรกรจะได้กลับคืนมาคือวิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่น ความปรองดองในชุมชน ตลอดจนความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรต่อไปในอนาคต