กรุงเทพฯ--15 ต.ค.--คอร์ แอนด์ พีค
กระทรวงอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้า โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค ตามนโยบาย One Province One Agro-Industrial Product หรือ OPOAI ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง เผยปี 2555 มีสถานประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เป็นจำนวนถึง 158 แห่ง พร้อมรับมือเปิดเสรีเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียน ปี 2558
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป จึงได้จัดทำ โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค ตามนโยบาย One Province One Agro-Industrial Product หรือ OPOAI ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา โดยตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบันมีสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 600 แห่ง มีผลตอบแทนที่สามารถวัดมูลค่าเป็นตัวเงินได้กว่า 2,600 ล้านบาท และในปี 2555 นี้ มีสถานประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เป็นจำนวนถึง 158 แห่ง จากเป้าหมาย 130 แห่ง ประกอบด้วย สถานประกอบการประเภทข้าว พืชไร่ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไม้ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา แปรรูปอาหารทะเล มันสำปะหลัง แปรรูปไม้ สมุนไพร/สปา แปรรูปน้ำมันปาล์ม และอื่น ๆ โดยกระบวนการในการพัฒนาศักยภาพของสถานประกอบการนั้น มีด้วยกัน 6 แผนงาน ประกอบด้วย
- การบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทางด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งให้ต่ำลง
- การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดต้นทุนการผลิต โดยปรับปรุงกระบวนการด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง
- การปรับปรุงคุณภาพและการพัฒนางาน เพื่อให้มีระบบการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพที่ดี
- การลดต้นทุนพลังงาน เพื่อให้องค์กรสามารถลดต้นทุนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์/ระบบมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความพร้อมขององค์กรในการยื่นขอรับรองมาตรฐานต่าง ๆ
- กลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด โดยการวางแผนการตลาด รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค หรือ OPOAI มีความสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรของประเทศ ให้สามารถรองรับ AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งขณะนี้ โครงการมีความพร้อมที่จะรองรับและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เข้มแข็งและพร้อมสู้กับประเทศอื่นได้อย่างเต็มภาคภูมิ
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า โครงการ OPOAI มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของสถานประกอบการให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเราจะสร้างกระบวนการทำงานภายในให้เข็มแข็ง ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ เมื่อระบบภายในเข้มแข็งมีภูมิคุ้มกันที่ดีแล้ว ก็จะส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวพร้อมรับกับ AEC และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า และอยากให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อให้อยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ในส่วนของการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เกิดจากการรวมตัวของชาติในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และบรูไน ซึ่งมีเป้าหมายการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ คือ เป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (Single Market and Production Base) โดยให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุนและแรงงานฝีมือ ภายในอาเซียนอย่างเสรี รวมไปถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้นภายในปีพ.ศ.2558 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในการขยายการส่งออก โอกาสทางการค้า และการบริการในสาขาที่ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งยังจะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมาสู่อาเซียน ซึ่งจะเพิ่มอำนาจการต่อรองของอาเซียนในเวทีการค้าโลก และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในอาเซียนในภาพรวม
แต่ในทางกลับกัน ก็ส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางการค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นผู้ประกอบการในทุกภาคส่วนของประเทศไทย จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเร่งปรับตัวเพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพทั้งในด้านการผลิตและการบริหารต้นทุน เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น การนับถอยหลังเพื่อเตรียมตัวรับ AEC นั้น ณ ปัจจุบันคงไม่ใช่แต่เพียงผู้ประกอบการของไทยเพียงประเทศเดียว ผู้ประกอบการอีก 9 ประเทศก็คิดเช่นเดียวกับประเทศไทยและอยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาตัวเองเช่นเดียวกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีอาเซียน
ประเทศไทย ถือได้ว่ามีข้อได้เปรียบกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ปาล์ม มันสำปะหลัง ข้าวโพด ฯลฯ อีกทั้งยังเป็นแหล่งของอาหารสดประเภทต่างๆ ส่งผลให้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งสินค้าบางรายการไทยยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก นับได้ว่าเป็นความได้เปรียบเชิงแข่งขันสำหรับสินค้าเกษตรของไทยได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปของไทย ยังคงต้องปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาฝีมือแรงงาน เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขันให้สามารถทัดเทียมประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อไป