ผลดำเนินงาน 9 เดือน ตลาดหุ้นไทยสร้างสถิติสูงสุดหลายด้าน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 24, 2012 15:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--ตลท. ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2555 ดำเนินการได้ตามเป้าหมายโดยรวม โดยในไตรมาส 3 ตลาดทุนไทยมีพัฒนาการสำคัญโดดเด่น ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพระบบซื้อขาย โดยเริ่มใช้ระบบซื้อขายใหม่ SET CONNECT อีกทั้งยังสร้างสถิติสูงสุดหลายด้าน ได้แก่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เปิดตลาดของทั้ง SET และ mai ตอกย้ำความน่าสนใจของตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย เผยมี Holding Company 2-3 ราย อยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่ง ขณะที่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด ตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดแล้ว ด้านตลาดอนุพันธ์ฯ พร้อม เทรด SET50 Futures และ SET50 Options โฉมใหม่ และ Sector Futures 5 หมวดธุรกิจ ตั้งแต่ 29 ตุลาคมนี้ นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2555 ผลการดำเนินงานโดยรวมบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยในช่วงไตรมาส 3 มีพัฒนาการสำคัญที่เพิ่มความน่าสนใจแก่ตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การเริ่มใช้ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ SET CONNECT ที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกได้สำเร็จด้วยความร่วมมือจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 32 แห่ง เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการซื้อขายรวมถึงการออกผลิตภัณฑ์และธุรกรรมรูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต และในช่วงต้นเดือนตุลาคมได้มีการเชื่อมโยงกระดานซื้อขายหลักทรัพย์อาเซียน (ASEAN Trading Link) ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ นับเป็นจุดเริ่มต้นการทำธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์อาเซียนที่สะดวกรวดเร็ว และกระตุ้นความสนใจให้เกิดการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งไทยมากขึ้น “ช่วงไตรมาส 3 ในขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกชะลอตัวจากผลกระทบของปัญหาด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และยุโรป ตลาดหลักทรัพย์ไทยกลับมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายด้าน จากสภาพคล่องทางการเงินในตลาดทุนโลกที่เพิ่มขึ้น จากตัวเลขผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลสูงต่อเนื่อง และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนโอกาสเติบโตของเศรษฐกิจไทย จึงส่งผลให้สามารถสร้างสถิติสูงสุดในด้านต่างๆ ได้แก่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับสูงขึ้นมากที่สุดในภูมิภาค มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เปิดทำการ รวมถึงการที่ประเทศไทยมีพัฒนาการด้านการกำกับดูแลกิจการมาต่อเนื่อง จนกระทั่งได้รับการยกอันดับด้านการกำกับดูแลกิจการ CG Watch 2012 ขึ้นเป็นอันดับที่ 3 จากทั้งหมด 11 ประเทศในเอเชีย จากเดิมที่อยู่ในอันดับ 4 ในปี 2553 ได้เพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนและบริษัทจดทะเบียนของไทยแก่ผู้ลงทุนได้อย่างดียิ่ง อีกทั้งการปรับเกณฑ์รับบริษัท Holding Company เพื่อรับบริษัทไทยที่มีแกนการทำธุรกิจอยู่ในต่างประเทศเข้าจดทะเบียนก็ได้รับความสนใจ โดยมีบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว และอีก 2-3 รายอยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่ง” นายจรัมพรกล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนของปี 2555 มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน (average daily turnover) ของ SET และ maiยังคงสูงอยู่ในระดับต้นของภูมิภาคต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 30,601 ล้านบาท ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายของตราสารอนุพันธ์ตั้งแต่ ม.ค—ก.ย. อยู่ที่ 7,727,239 สัญญา หรือเฉลี่ย 44,178 สัญญาต่อวัน สำหรับด้านการเพิ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในช่วง 9 เดือนแรก มีบริษัทและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฯ เข้าจดทะเบียนใหม่ 9 บริษัท และ 5 กองทุน มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 60,851 ล้านบาท และในเดือนตุลาคมนี้ มีบริษัทกำหนดเข้าจดทะเบียน 2 บริษัท นอกจากนี้มีบริษัทที่ยื่นไฟลิ่งแล้ว 12 บริษัท (ณ 10 ตุลาคม 2555) แบ่งเป็นเข้าจดทะเบียนใน SET 4 บริษัท mai 8 บริษัท สำหรับการผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนระดมทุนเพิ่มและใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการ 9 เดือนแรกที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียน 132 บริษัทที่ระดมทุนเพิ่มโดยมีมูลค่าระดมทุนรวม 81,983 ล้านบาท และมีบริษัทที่ใช้เครื่องมือด้านตลาดทุนในการบริหารจัดการระดมทุนถึง 75 บริษัท โดยเครื่องมือที่บริษัทจดทะเบียนนิยมใช้มากที่สุดยังคงเป็นการจ่ายหุ้นปันผล (Stock Dividend) รวม 33 บริษัท ทั้งนี้ ในวันที่ 29 ตุลาคม บมจ. ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จะเปิดซื้อขาย SET50 Futures และ SET50 Options โฉมใหม่ ซึ่งปรับปรุงลักษณะของสัญญาให้สอดคล้องกับ Index Futures ที่มีการซื้อขายในตลาดแถบภูมิภาคเอเชีย โดย SET50 Futures และ Options จะมีสัญญาที่ครบกำหนดอายุรายเดือนเพิ่มขึ้น และ SET50 Options ยังจะมีสัญญาที่ครบกำหนดอายุสั้นลง และมีช่วงห่างราคาใช้สิทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารความผันผวนของดัชนีหลักทรัพย์ที่มักเกิดขึ้นในระยะสั้นได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ จะเปิดซื้อขาย Sector Futures ที่อ้างอิงกับดัชนีหมวดธุรกิจจำนวน 5 หมวดธุรกิจ ได้แก่ หมวดธนาคาร (BANK) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) พลังงาน (ENERG) อาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) และพาณิชย์ (COMM) ซึ่งล้วนเป็นหมวดธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการบริหารพอร์ตการลงทุน และเสริมกลยุทธ์การลงทุนในแต่ละหมวดธุรกิจได้อย่างสะดวก ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ด้วย ด้านการขยายฐานผู้ลงทุนสถาบัน ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดงาน Thailand Focus 2012 ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 ซึ่งมีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกมากสุดเป็นประวัติการณ์ และยังเป็นครั้งแรกที่เชื่อมโยงตลาดทุนอินโดจีนเข้าด้วย โดยเชิญตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคอินโดจีนเข้าร่วมงาน และจัดโรดโชว์พร้อมนำบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่อยู่ในหมวดธุรกิจที่อยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนสถาบัน ตามแผนงานที่จะดึงดูดผู้ลงทุนกลุ่มประเทศที่เป็นศูนย์กลางการลงทุนหลักของโลก เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สิงคโปร์ ฮ่องกง และยังได้ขยายไปยังกลุ่มผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ในแคนาดาและจีน อีกด้วย ขณะที่ผลดำเนินงานด้านการขยายฐานผู้ลงทุนบุคคล ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่องร่วมกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ ส่งผลให้มกราคม — กันยายน 2555 มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนรายบุคคล 763,374 บัญชี หรือเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2554 จำนวน 63,149 บัญชี สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ณ สิ้นปี 2555 ที่ 740,000 -750,000 บัญชี ขณะที่จำนวนบัญชีอนุพันธ์ มีจำนวน 74,057 บัญชี เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2554 จำนวน 13,757 บัญชี ซึ่งคาดว่าภายในไตรมาส 4 จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 80,000 บัญชี ส่วนสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายผ่าน online ในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 52.50% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของผู้ลงทุนรายบุคคล ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้านงานบริการหลังการซื้อขายนั้น ในไตรมาส 3 ปีนี้ มีการพัฒนาธุรกิจบริการหลังการซื้อขายอย่างต่อเนื่องให้ครบวงจร ได้แก่ การพัฒนาระบบงานปฏิบัติการ (Daily Operation) ด้วยการพัฒนาระบบ PTI Direct Connect เพื่อให้รองรับการปฏิบัติงานในรูปแบบ Straight Through Processing (STP) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก และลดขั้นตอนการทำงานด้านหลังการซื้อขายแก่บริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งการพัฒนาระบบงานและกฎเกณฑ์รองรับการทำหน้าที่ชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์โดยบุคคลที่สาม (Third Party Clearing) ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ 1 ต.ค. 2555 นอกจากนี้ งานธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (securities borrowing and lending: SBL) ได้จัดตั้งกระดานแสดงหลักทรัพย์ที่มีไว้เพื่อการให้ยืม (Lending Pool) รวมทั้งศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯ (TSD) จะเข้าเป็นคู่สัญญากับผู้ยืมและผู้ให้ยืมเมื่อมีการจับคู่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าจะเริ่มให้บริการ SBL สำหรับหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่ม SET50 ในไตรมาส 1 ปี 2556 ตลาดหลักทรัพย์ยังมีการพัฒนาส่งเสริมงานพัฒนาตลาดทุนระยะยาว ดังนี้ 1.) ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเดินหน้าสู่มาตรฐาน ESG (Environment, Social and Governance) เพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการธุรกิจให้แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยได้จัดทำแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมพร้อมจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้บริษัทจดทะเบียนนำไปใช้ปฏิบัติภายในองค์กร 2.) ให้ความสำคัญกับการยกระดับความรู้แก่ผู้ลงทุนและผู้ประกอบวิชาชีพ ได้แก่ (2.1) จัดโครงการกระตุ้นให้เกิดผู้ลงทุนหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดทุน “ออมไว้ในหุ้น by TSI” โดยมีผู้สมัครร่วมโครงการ 7,551 คน (2.2) จัดโครงการ Employee’s Choice@ Workplaces เพื่อการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณและเพิ่มพูนเงินออมผ่านการเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม โดยมีสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเข้าร่วมอบรม 6,840 คน (2.3) การพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพ ได้จัดโครงการสร้างผู้แนะนำการลงทุนรุ่นใหม่ (New Investment Consultants: NIC@Brokers) เพื่อสร้างต้นแบบผู้แนะนำการลงทุนรุ่นใหม่แก่บริษัทหลักทรัพย์ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาชีพผู้แนะนำการลงทุนที่มีมาตรฐานสูง พร้อมยกระดับคุณภาพการทำงานผู้แนะนำการลงทุนรุ่นใหม่ ให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนการพัฒนาให้ความรู้เยาวชน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งสานโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเงินได้แก่ 1.) ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้จัดแข่งขัน “เศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ: เงินทอง ของมีค่า และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ครั้งที่ 4 ซึ่งในปีนี้มีเยาวชนสมัครเข้าร่วมการแข่งขันสูงสุดถึง 4,039 คน จากโรงเรียน 947 แห่งทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 73% แสดงให้เห็นถึงความสนใจในการเข้าร่วมแข่งขันมากขึ้น 2.) ระดับอุดมศึกษา จัดแข่งขัน Young Financial Star Competition 2012 (YFS) เป็นการเตรียมความพร้อมบุคลากรที่มีความรู้และทักษะป้อนสู่ตลาดทุน โดยปีนี้ได้รับความสนใจจากเยาวชนเข้าร่วมแข่งขัน 5,688 คน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดร.วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ไทยในไตรมาส 3 ปี 2555 ว่า แม้ว่าตลาดทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่สภาพคล่องส่วนเกินในตลาดทุนโลกที่เพิ่มขึ้นจากการใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัวของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่ที่ผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดีได้สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและจากสิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2555 SET Index ปิดที่ 1,298.79 จุด เพิ่มขึ้น 26.67% จากสิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค และปรับเพิ่มขึ้น 5.81% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ดัชนีหลักทรัพย์ของกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% จากสิ้นปี 2554 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของทั้ง SET และ mai ปรับสูงขึ้นและทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ โดยของ SET อยู่ที่ 10,775,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.16% จากสิ้นปี 2554 และของ mai อยู่ที่ 104,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.47% จากสิ้นปี 2554 ด้านอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (forward P/E ratio) ของไทยสูงขึ้นมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยของ SET อยู่ที่ระดับ 13.87 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 11.59 เท่า ณ ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ของ mai อยู่ที่ระดับ 13.26 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 10.09 เท่า ณ ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.45% และ mai อยู่ที่ 2.02% ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในไตรมาส 3 ปี 2555 อยู่ที่ 31,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.66% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 5.11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ปี 2555 ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิรวม 1,679 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการซื้อสุทธิในเดือนกันยายน ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2555 ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิที่ 65,775 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 23.93% เมื่อเทียบกับปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 22.78%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ