ผู้ลงทุนเชื่อมั่น ดันยอดจองเพิ่มทุน WHAPF กว่า 2 พันล้าน 3 วันขายเกลี้ยง บลจ. กสิกรไทย ปลื้ม เดินหน้าจัดสรรหน่วยลงทุน พร้อมเข้าตลาดฯ ต้นปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 14, 2012 14:34 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--บลจ. กสิกรไทย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ ปิดยอดจองเพิ่มทุนเต็ม 2,142 ล้านบาท บลจ. กสิกรไทย เผยผู้ลงทุนมั่นใจ2 โครงการใหม่ทั้งคลังยาและคลังสินค้าระดับพรีเมี่ยมขยายโอกาสทำกำไรเพิ่ม นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) เมื่อวันที่ 11-13 ธันวาคม 2555 ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุน WHAPF อย่างดียิ่ง ทำให้มียอดจองซื้อหน่วยลงทุนเข้ามาเต็มมูลค่าโครงการ ซึ่งยอดการจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนถึงความไว้วางใจในการบริหารกองทุนของบลจ. กสิกรไทย หากยังแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในศักยภาพของทำเลที่กองทุนเตรียมจะขยายการลงทุนในโครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ซึ่งเป็นคลังสินค้าปรับอากาศพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิที่ได้มาตรฐานสากลเหมาะสำหรับการจัดเก็บเวชภัณฑ์ และคลังสินค้าโครงการ Kao 3 ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งไม่เพียงโดดเด่นด้วยมาตรฐานในระดับสากล หากยังมีความได้เปรียบในแง่ที่ตั้งซึ่งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์การขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทต่างชาติที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถืออย่างบริษัทดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด หรือดีทแฮล์มเดิม บริษัทเม็นโล เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทคราวน์ เวิลด์ไวด์ จำกัด และบริษัทคาโอ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งล้วนทำสัญญาเช่าระยะยาวเต็มพื้นที่ทั้ง 2 โครงการ ซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อกองทุน WHAPF และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจให้ผู้ถือหน่วยลงทุนต่อไปในอนาคต นายอำพลกล่าวต่อไปว่า บลจ. กสิกรไทย ขอขอบคุณผู้ลงทุนเดิมในกองทุน WHAPF ทุกท่านที่มอบความไว้วางใจให้ บลจ. กสิกรไทย ในการบริหารกองทุน และขอขอบคุณธนาคารกสิกรไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนการขายอย่างดียิ่ง ตลอดทั้งร่วมกันเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบการตัดสินใจแก่ ผู้ลงทุน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จในการเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนดังกล่าว ขณะนี้ บลจ. กสิกรไทย อยู่ระหว่างดำเนินการจัดสรรหน่วยลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนเดิมในกองทุน WHAPF ที่จองซื้อหน่วยลงทุนเข้ามา สามารถตรวจสอบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนเพิ่มทุนได้ทาง www.kasikornasset.com สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเข้าซื้อ-ขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าวภายใต้ชื่อ WHAPF ได้ตามราคาตลาดฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่ง บลจ. กสิกรไทย คาดว่าจะสามารถนำหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในเดือนมกราคม 2556 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF)ปัจจุบันมีจำนวนเงินทุนโครงการ 3,110 ล้านบาท และภายหลังดำเนินการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้แล้วจะส่งผลให้กองทุนมีขนาดเพิ่มเป็น 5,252 ล้านบาท ปัจจุบันมีการลงทุนในอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานรวม 7 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคลังสินค้า 5 โครงการภายใต้การบริหารอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โครงการคลังสินค้า Kao 1 และโครงการคลังสินค้า Kao 2 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี พร้อมด้วย อาคารคลังสินค้า DKSH (หรือดีทแฮล์มเดิม) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคลังสินค้า DKSH ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการคลังสินค้า DKSH Consumer และโครงการคลังสินค้า DKSH 3M บริเวณ ถ. บางนา-ตราด กม.20 (ใกล้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และโครงการโรงงานอีก 2 โครงการ คือ โครงการโรงงาน Primus และโครงการโรงงาน Ducati ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง ซึ่งภายหลังจากดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 แล้ว กองทุนจะขยายการลงทุนไปในสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คือ โครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ขนาดประมาณ 52,700 ตารางเมตร และโครงการคลังสินค้า Kao 3 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี ขนาดประมาณ 16,800 ตารางเมตร นับตั้งแต่จัดตั้งโครงการในปี 2553 เป็นต้นมา กองทุนมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานทั้ง 12 โครงการข้างต้น มีการประกาศจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง อัตราการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 1.3492 บาทต่อหน่วย คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในรอบระหว่างปี 2554-2555 ครบทั้ง 4 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น 0.7241 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน เฉลี่ยประมาณ 7.22 % ต่อปี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ