กรุงเทพฯ--2 ม.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555 คณะกรรมการแปรสภาพกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ได้พิจารณาอนุมัติแผนการแปรสภาพกองทุนฯ เป็นกองทุนเปิด ขนาดในเบื้องต้นไม่เกิน 500,000 ล้านบาท เน้นการลงทุนเชิงรุก คาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีและผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติตามลำดับภายในกลางปีหน้า
[นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร.] เผยว่า ในวันนี้ (28 ธันวาคม 2555) คณะกรรมการแปรสภาพฯ ได้อนุมัติแผนการแปรสภาพและรูปแบบกองทุนฯ ภายหลังการแปรสภาพ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้ภายในเดือนมกราคม ปีหน้า และคาดว่าจะสามารถนำเสนอผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่ออนุมัติการแปรสภาพฯ ได้ภายในกลางปีหน้า
“กองทุนฯ จะแปลงสภาพเป็นกองทุนเปิด และคาดว่าจะมีการระดมทุนเพิ่มภายในปีหน้า เป็นผลให้ขนาดกองทุนฯ ในเบื้องต้นคาดว่าจะปรับเพิ่มจากประมาณ 370,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน เป็นไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ในช่วงแรก และอาจเพิ่มขึ้นจากการระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคต โดยหน่วยลงทุนจะยังคงแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หน่วย ก. สาหรับผู้ลงทุนทั่วไปซึ่งคาดว่าจะประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน ผู้ลงทุนสถาบันทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะสามารถขายคืนได้ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดนอกเหนือจากที่จะสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ และหน่วย ข. สำหรับกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือหน่วยรายใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุน” นายประสงค์กล่าว
ทั้งนี้ นโยบายการลงทุน จะประกอบไปด้วยสินทรัพย์ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สินทรัพย์สภาพคล่อง (ได้แก่เงินสดหรือตราสารเทียบเท่าเงินสด) สินทรัพย์เชิงรุก (เช่น หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET50 และ SET100เป็นต้น) และกิจการที่จำเป็น (อาจประกอบด้วยหลักทรัพย์จดทะเบียน หลักทรัพย์ไม่จดทะเบียน และ/หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม) โดยมุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุกเป็นหลักประกอบการลงทุนในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทั้งนี้ สัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม และจะมีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนสาหรับกิจการที่จำเป็นต่อไป
“ผลตอบแทนหน่วย ก. จะมีลักษณะเป็นช่วงขั้นต่ำ/สูง โดยผู้ลงทุนทั่วไปจะมีสิทธิรับผลตอบแทนก่อนเพื่อให้เป็นตามอัตราขั้นต่ำตามที่กองทุนฯ กำหนด” นายประสงค์กล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบัน กองทุนฯ มีจานวนผู้ถือหน่วยประมาณ 27,000 ราย โดยมีกระทรวงการคลัง กรุงไทย และ ไทยพาณิชย์ เป็นผู้ถือหน่วยรายใหญ่ (ประมาณร้อยละ 70) ทั้งนี้ กองทุนฯ มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีโดยประมาณร้อยละ5 — 6 และมีการลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้น PTT และ SCB ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 75 ของการลงทุนทั้งหมด