MovieParker

ข่าวบันเทิง Thursday January 17, 2013 14:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Action / Thriller กำหนดฉาย 31 มกราคม 2012 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง สตีฟ แชสแมน (The Transporter 1-3, Killer Elite, The Bank Job) กำกับ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ค (Ray, The Devil's Advocate, An Officer and a Gentleman) เขียนบท จอห์น เจ แม็คลาฟลิน (Black Swan, Man of the House) นำแสดง เจสัน สเตทแธม (The Expendable 1&2, The Transporter 1-3, Killer Elite)เจนนิเฟอร์ โลเปซ (What to Expect, The Back-Up Plan, Shall We Dance) คลิฟตัน คอลลิน จูเนียร์ (Star Trek, Crank: High Voltage, The Experiment) นิค โนลเต้ (Warrior, Cape Fear, Hotel Rwanda, 48 Hrs.) เนื้อเรื่อง นักโจรกรรมมืออาชีพที่ใช้ชีวิตตามกฏของตัวเอง ออกตามล่าล้างแค้นกลุ่มคนที่หักหลังเขาใน Parker หนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์สุดเข้มข้น ในฉากหลังของเมืองตากอากาศ ผลงานโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ค ที่นำเอาตัวละคร “พาร์คเกอร์” จากนวนิยายชุดของ โดนัลด์ อี เวสเลค ที่มีมาแล้วถึง 29 เล่ม มาสร้างให้มีชีวิตโลดแล่นในโลกภาพยนตร์ พาร์คเกอร์ (เจสัน สเตทแธม) ถือเป็นมือหนึ่งในเรื่องการโจรกรรม เขามีทั้งไหวพริบและฝีมือการต่อสู้ และยังเชี่ยวชาญในเรื่องการวางแผนปล้นที่ไม่มีใครคาดคิด สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือลูกมือที่เชื่อใจได้ อย่างไรก็ตามการโจรกรรมครั้งล่าสุดของเขากลับไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อ พาร์คเกอร์ ตัดสินใจทำงานร่วมกับ มีแลนเดอร์ (ไมเคิล ชิคลิส) หัวหน้าแก๊งค์มาเฟีย ที่ตัดสินใจหักหลังเขาหลังจากจบงาน และปล่อยให้ พาร์คเกอร์ นอนรอความตายอยู่ข้างถนน หลังจากที่ พาร์คเกอร์ เอาตัวรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด เขาก็มีเป้าหมายในการล้างแค้นกลุ่มคนที่หักหลังเขา โดยเขาก็ไล่ตามจนมาถึงปาล์มบีช โดยปลอมตัวเป็นเศรษฐีจากเท็กซัสที่กำลังหาซื้อบ้าน ซึ่งก็ทำให้เขาได้รู้จักกับ เลสลี่ (เจนนิเฟอร์ โลเปซ) นายหน้าอสังหาฯที่กำลังมีปัญหาเรื่องหนี้สิน ด้วยความช่วยเหลือของเธอ พาร์คเกอร์ ก็ได้ล่วงรู้ถึงแผนการปล้นเครื่องเพชรมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญของ มีแลนเดอร์ ซึ่งก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะซ้อนแผนปล้นอีกที เพื่อล้างแค้นในสิ่งที่พวกมันได้ทำกับเขา Parker นำแสดงโดย เจสัน สเตทแธม (The Expendables 1-2, The Transporter 1-3), เจนนิเฟอร์ โลเปซ์ (Out of Sight, The Wedding Planner), ไมเคิล ชิคลิส (The Fantastic Four 1-2), นิค โนลเต้ (Warrior, Prince of Tides), คลิฟตัน คอลลินส์ จูเนียร์ (Capote, Traffic), เวนเดลล์ เพียร์ส (The Wire, Treme) และ เอ็มม่า บู้ท (Swerve, The Boys Are Back) ทีมงานเบื้องหลังของ Parker ก็ประกอบไปด้วย ผู้กำกับ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด (Ray, The Devil's Advocate), ผู้เขียนบท จอห์น เจ แม็คลาฟลิน (Black Swan, Hitchcock) ที่ดัดแปลงจากหนังสือของ โดนัลด์ อี เวสเลค ที่ชื่อ Flashfire, อำนวยการสร้างโดย สตีฟ แชสแมน (The Transporter 1-3, Killer Elite, The Bank Job), กำกับภาพโดย ไมเคิล มูโร (Crash, Rush Hour 3), ออกแบบงานสร้างโดย มิสซี่ สจ๊วต (The Ugly Truth, Legally Blonde), และออกแบบเครื่องแต่งกายโดย เมลิสซ่า บรุนนิ่ง (Friends With Kids, Let Me In) จุดเริ่มต้นการสร้าง นักเขียนหนังสือและบทภาพยนตร์ โดนัลด์ อี เวสเลค สร้างตัวละครที่กลายเป็นตำนานอย่าง พาร์คเกอร์ ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1962 ในนวนิยายอาชญากรรมที่ยังขายดีจนถึงปัจจุบันอย่าง The Hunter เรื่องราวของนักโจรกรรมมืออาชีพ ที่ทำงานภายใต้กฏของตัวเอง เวลาผ่านมากว่า 46 ปี เวสเลค ก็ได้เขียนเรื่องราวการผจญภัยของ พาร์คเกอร์ ขึ้นมาอีกทั้งหมด 28 เล่ม ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครหลักที่น่าจดจำ เรื่องราวที่น่าติดตามและสามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา และมันก็กลายเป็นหนังสือชุดเรื่องหนึ่งที่ทุกคนจดจำได้ดี เลส อเล็กซานเดอร์ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง Parker ถือเป็นแฟนที่ติดตามหนังสือของ เวสเลค มากว่า 40 ปี ก็ได้พูดถึงเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนอยากติดตามตัวละครอย่าง พาร์คเกอร์ "มันเป็นความรู้สึกที่แปลก เพราะนักอ่านจะพบว่าตัวเองกำลังเอาใจช่วย พาร์คเกอร์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีมีคุณธรรม แต่เป็นเพราะเขามีไหวพริบมากกว่าคนรอบตัว และเขาก็ยังมีกฏการใช้ชีวิตที่น่าสนใจและน่านับถือ" เวลาผ่านมาเกือบ 5 ทศวรรษ กับนวนิยายชุดที่เล่าถึงการโจรกรรมและปมของเรื่องราวที่ซับซ้อน ผู้อ่านก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับรายละเอียดของการปล้นที่ต้องลุ้นทุกวินาที รวมถึงมิติของตัวละครนำอย่าง พาร์เกอร์ ที่มีกฏการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเอง นั่นก็คือการไม่ขโมยจากคนที่ไม่มี จัดการกับคนที่สมควรได้รับโทษ และไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ถือไพ่เหนือกว่า Parker ดัดแปลงจาก Flashfire ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของ เวสเลค นับตั้งแต่ที่เขาหยุดเขียนถึงการผจญภัยของ พาร์คเกอร์ ไป 23 ปี โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มีหนังหลายเรื่องที่หยิบยืมเอาบรรยากาศและกลิ่นอายของ พาร์คเกอร์ ไปทำเป็นหนัง ไม่ว่าจะเป็น ลี มาร์วิน ใน Point Blank, โรเบิร์ต ดูวัล ใน The Outfit หรือแม้กระทั่ง เมล กิ๊บสัน ใน Payback แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หนังสือของ เวสเลค ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ สำหรับการดัดแปลงหนังสือให้เป็นบท ก็เป็นหน้าที่ของ จอห์น แม็คลาฟลิน ที่มีผลงานคุณภาพอย่าง Black Swan โดยแนวทางของเขาก็คือ ความซื่อตรงต่อจิตวิญญาณในตัวละครของ เวสเลค ที่เป็นอาชญากรที่ใช้ชีวิตตามกฏของตัวเองอย่างเคร่งครัด ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรื่องราวให้ทันสมัยและเข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้น เขาเผยแนวทางว่า "ผมคิดว่ามันมีความแตกต่างกันระหว่างการแปลและการดัดแปลง การแปลคือการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหนังสือออกมาเป็นบท แต่การดัดแปลงก็คือการจับจิตวิญญาณและบรรยากาศ มาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา" บทภาพยนตร์ของ แม็คลาฟลิน ทำให้ทุกคนในฮอลลิวู้ดให้ความสนใจ ซึ่งก็รวมถึงผู้กำกับรางวัลออสการ์อย่าง เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด ที่มีผลงานคุณภาพอย่าง Ray และ An Officer and a Gentleman โดยเขาเผยถึงสิ่งที่ดึงดูดเข้ามาว่า "ผมคิดว่าบทภาพยนตร์มีความน่าสนใจ ผมมองเห็นแนวทางว่าตัวเองต้องการทำอะไรกับมันบ้าง นี่เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีไหวพริบ มีตัวละครที่แข็งแรง และมีพล็อตที่ทำให้คนดูต้องการติดตามไปจนจบ สิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับผม" เหมือนกับแฟนๆหนังสือทุกคน แฮ็คฟอร์ด ก็เผยว่าสิ่งที่ทำให้เขาชอบที่สุดก็คือตัวละครนำ "สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับ พาร์คเกอร์ ก็คือ เขาเป็นคนที่มีหลักการในการใช้ชีวิต แน่นอนที่เขาเป็นขโมย และเป็นคนที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้อื่น แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ และก็จะขโมยจากคนที่มีเหลือกินเหลือใช้เท่านั้น แต่ถ้าใครก็ตามหักหลังเขา เขาก็จะไล่ล่าคนนั้นไปจนสุดโลกเพื่อเอาคืน" จากความคาดหวังของแฟนๆหนังสือทั่วโลก ทีมผู้สร้างก็มีความรับผิดชอบในการทำสิ่งที่ เวสเลค สร้างสรรค์ออกมาให้ดีที่สุด แฮ็คฟอร์ด เล่าว่า "พวกเราพยายามที่จะเดินตามรอยเท้าของ โดนัลด์ เราต้องคอยดูว่าตัวเองไม่หลุดออกไปจากตัวตนที่ถูกเขียนขึ้นมา น่าเสียดายที่ โดนัลด์ ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว พวกเราจึงพยายามที่จะทำหนังเรื่องนี้เพื่อความเคารพ สำหรับเขาและแฟนๆหนังสือทั่วโลก" การคัดเลือกนักแสดง หลังจากได้ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด เข้ามาเป็นผู้กำกับแล้ว ทีมงานก็เริ่มออกตามหาตัวเลือกที่เหมาะสมในการเข้ามารับบทเป็น พาร์คเกอร์ ผู้อำนวยการสร้าง เลส อเล็กซานเดอร์ เผยว่า "การที่เราได้ เทย์เลอร์ เข้ามาเป็นผู้กำกับถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม ชื่อของเขาทำให้นักแสดงมากมายในวงการให้ความสนใจ เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่รู้จักการใช้ประโยชน์จากนักแสดงมากที่สุด ในที่สุด เจสัน สเตทแธม ก็กลายเป็นตัวเลือกที่เราทุกคนคิดว่าสมบูรณ์แบบ นี่คือบทบาทที่อยู่ในแนวทางของเขา ในขณะเดียวกันมันก็เปิดโอกาสให้เราเห็นด้านที่ไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน" เจสัน สเตทแธม ถือเป็นนักแสดงที่มีส่วนผสมที่น่าสนใจ ทั้งสมรรถภาพทางกายที่แข็งแกร่ง ทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม และความสุขุมที่แสดงให้เห็นถึงไหวพริบและความฉลาด ซึ่งทั้งหมดถือเป็นตัวตนของ พาร์คเกอร์ โดย แฮ็คฟอร์ด ก็พูดถึงเขาว่า "ครั้งแรกที่ผมได้เห็น เจสัน ก็จากเรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels โดยนอกจากความหล่อเหลาและอันตราย เขาก็ยังมีอารมณ์ขันอีกด้วย ผมคิดว่าเขาเป็นแอ็คชั่นสตาร์ที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน เขาสามารถแสดงฉากที่สร้างอารมณ์ร่วมได้ และก็ไม่ต้องพึ่งสตันท์แมนในการต่อสู้ เขามีศักยภาพพอที่จะเป็นได้ทุกอย่าง" สเตทแธม ก็ติดใจกับหลักการใช้ชีวิตของ พาร์คเกอร์ เขาเผยว่า "เวสเลค สร้างตัวละครที่เป็นนักโจรกรรมขึ้นมาอย่างมีมิติและสมเหตุสมผล นี่คือตัวละครที่มีสเน่ห์และมีอารมณ์ขันอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบ เขาคือผู้ชายที่ต้องการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง แม้บางครั้งมันอาจก้ามข้ามเส้นของกฏหมาย และถึงแม้เขาจะสามารถตะลุยผ่านทุกสถานการณ์ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะใช้สันติวิธีมากกว่า อย่างไรก็ตามถ้าคุณแหกกฏของเขา คุณก็เตรียมรับผลกระทบที่รุนแรงได้เลย" ทั้ง สเตทแธม และ แฮ็คฟอร์ด ต่างพบว่าการร่วมงานเป็นประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจที่สุด แฮ็คฟอร์ด พูดถึงนักแสดงนำว่า "เจสัน มีความจริงจังกับบทบาทนี้ เขาทุ่มเทในทุกๆอย่างที่เขาต้องทำ และเขาไม่เคยปฏิเสธในเรื่องงาน ซึ่งก็เป็นเพราะเขาเห็นศักยภาพในตัวละครนี้ ผมคิดว่าเขาพัฒนาขึ้นมากในฐานะนักแสดง แน่นอนที่เขาเป็นแอ็คชั่นสตาร์อยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้เขาก็เป็นอะไรที่มากกว่านั้น ผมคิดว่าแฟนหนังของ เจสัน สเตทแธม จะยิ่งนับถือเขามากขึ้นในเรื่องนี้" สเตทแธม ก็พูดถึงการร่วมงานกับผู้กำกับว่า "เทย์เลอร์ เป็นผู้กำกับในฝันของนักแสดงทุกคน ผมไม่นึกเลยว่าคนที่ทำให้ เจมี่ ฟ็อกซ์ ได้รับรางวัลออสการ์จะเข้ามาทำงานกับผม พวกเรามีการพูดคุยถึงการถ่ายทอดตัวตนของ พาร์คเกอร์ นานหลายชั่วโมง เขาไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กน้อยหลุดไป เขาแจกแจงเบื้องหลังและความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครอย่างละเอียด ผมคิดว่านี่เป็นหนังที่มีหัวใจมากกว่าหนังแอ็คชั่นทั่วไป และมันก็ยังมีอารมณ์ขันแบบที่คุณคาดไม่ถึงอีกด้วย" เรื่องราวใน Parker เริ่มต้นที่เมืองนิวออร์ลีน ก่อนที่จะเดินทางมาที่เมืองตากอากาศอย่างปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า ที่การปล้นครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น และก็ยังเป็นการแนะนำอีกหนึ่งตัวละครสำคัญอย่าง เลสลี่ ผู้กำกับ แฮ็คฟอร์ด พูดถึงตัวละครว่า "เธอไม่ใช่นักโจรกรรมมืออาชีพเหมือน พาร์คเกอร์ เธอเป็นนายหน้าอสังหาฯที่ชีวิตกำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ซึ่งเมื่อ พาร์คเกอร์ เข้ามาในชีวิตเธอ เธอก็เห็นทางออกสำหรับปัญหา" เจนนิเฟอร์ โลเปซ รับบทเป็น เลสลี่ สาวที่ต้องแบกรับหนี้สินของอดีตสามี โดย แฮ็คฟอร์ด ก็พูดถึงการได้นักแสดงสาวสุดฮ้อตเข้ามารับบทว่า "ถึงแม้ เจนนิเฟอร์ จะเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่โดยธรรมชาติ แต่บทบาทของเธอในเรื่องนี้มีความเป็นคนธรรมดามากที่สุด และเธอก็สามารถสวมบทบาทได้อย่างสมจริง ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องแรกของ เจนนิเฟอร์ นับตั้งแต่ Out of Sight ที่เธอแสดงให้เห็นถึงด้านที่ทุกคนจับต้องได้มากที่สุด" โลเปซ ก็เล่าถึงสิ่งที่เธอนำเข้ามาใช้แสดงในบทนี้ว่า "ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง เลสลี่ และ พาร์คเกอร์ เป็นอะไรที่ซับซ้อนและสมจริง มันมีอะไรมากกว่าหนังแอ็คชั่นทั่วไป ตั้งแต่แรกที่ฉันได้พูดคุยกับ เทย์เลอร์ ฉันก็บอกเขาว่าฉันอยากแสดงในแนวทางที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งเขาก็บอกว่านั่นคือแนวทางที่เขาต้องการเช่นกัน ดังนั้นคุณจะไม่ได้เห็นภาพลักษณ์ของฉันจาก American Idol หรือหนังโรแมนติก-คอมเมดี้แน่นอน" เมื่อ พาร์คเกอร์ เผยให้ เลสลี่ รับรู้แผนการที่แท้จริงของเขา เธอก็มองเห็นโอกาสในการช่วยเหลือเพื่อรับส่วนแบ่ง แต่เธอก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอันตรายกว่าที่คาดคิด แฮ็คฟอร์ด อธิบายว่า "เลสลี่ ไม่ใช่อาชญากร เธอแค่ต้องการหาทางออกให้กับชีวิต เธอเข้ามาพัวพันโดยไม่รู้ว่าโลกใต้ดินอันตรายแค่ไหน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่ง เจสัน และ เจนนิเฟอร์ ก็สร้างเคมีที่ต้องกันขึ้นมาในภาพยนตร์" สเตทแธม ก็กล่าวชื่นชมนักแสดงสาวร่วมจอของเขา "เจนนิเฟอร์ เป็นผู้หญิงที่เป็นกันเองและเป็นมืออาชีพ และเธอก็ยังเป็นนักแสดงที่มีความสามารถด้วย คุณอาจคุ้นเคยกับหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ของเธอ แต่หนังอย่าง Selena ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเธอมีพรสวรรค์ทางการแสดงแค่ไหน มันยากที่จะหาองค์ประกอบที่ลงตัว และเธอก็เป็นชิ้นส่วนที่ทำให้หนังมีความสมบูรณ์ที่สุด" โลเปซ ก็รู้สึกพอใจกับการร่วมงานกับ สเตทแธม เธอเผยว่า "มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกที่สุด เขาเป็นสุภาพบุรุษที่สามารถเตะก้นได้ทุกคน พวกเราเองก็มีช่วงเวลาที่ดีในการผลักดันกันและกัน ฉันคิดว่าเราทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่าตัวละครของพวกเราจะมีพัฒนาการในเรื่องมากแค่ไหน พวกเราเริ่มต้นจากการไม่ไว้ใจกัน จนไปถึงความห่วงใยกันในตอนสุดท้าย" เบื้องหลังการถ่ายทำ Parker ติดตามการเดินทางของ พาร์คเกอร์ ในภารกิจตามล้างแค้น ที่เริ่มตั้งแต่งานแฟร์ในรัฐโอไฮโอ้จนไปถึงท้องถนนในเบอร์เบิ้นสตรีทที่ปาล์มบีช รวมถึงถนนเชื่อมระหว่างเมืองและแหล่งทิ้งขยะของโรงงานอุตสาหกรรม โดยผู้กำกับ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด ก็พูดการเลือกสถานที่ถ่ายทำว่า "ในหนังเรื่องนี้สถานที่ถ่ายทำก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละคร โดยเราถ่ายทำนอกสถานที่เกือบทั้งเรื่อง และก็มีการเลือกใช้สถานที่ที่ไม่เห็นบ่อยครั้งในหนังเรื่องอื่น โดยฉากแอ็คชั่นที่เกิดขึ้นส่วนมากจะถ่ายทำในเมืองนิวออร์ลีน ซึ่งเราก็ใช้เป็นตัวแทนสถานที่ในเมืองต่างๆเช่นเคนตักกี้, เทนเนสซี่ และเท็กซัส ในขณะที่เบอร์เบิ้นสตรีทอันโด่งดัง เราก็ไปถ่ายทำที่ปาล์มบีชของจริง" เรื่องราวของหนังเริ่มต้นใน Ohio State Fair ซึ่งถือเป็นงานแฟร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยในปี 2012 ที่ผ่านมาก็มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1 ล้านคนภายในระยะเวลา 12 วัน แฮ็คฟอร์ด เล่าว่า "การได้มาถ่ายทำในงานแฟร์ที่จัดขึ้นจริงถือเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง และผู้ที่เข้ามาร่วมงานแฟร์ต่างก็ให้ความร่วมมือ พวกเรามีผู้คนถึง 40,000-50,000 คนที่อยู่ในฉากหลัง มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้แน่นอน" สำหรับนักแสดง การได้ถ่ายทำกับงานแฟรร์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง ถือเป็นสิ่งที่ทั้งน่าตื่นเต้นและกดดัน สเตทแธม ก็เผยถึงความรู้สึกว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อคุณถ่ายทำกับผู้คนจริงๆที่ไม่ใช่นักแสดง คุณจะไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่มันก็ทำให้ทุกอย่างมีพลังงาน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นจริงๆ" เรื่องราวต่อจากนั้นก็เกิดในสถานที่ที่ว่ากันว่ามั่งคั่งที่ในอเมริกาอย่างปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า แฮ็คฟอร์ด เล่าว่า "แก๊งค์ของ มีแลนเดอร์ วางแผนที่จะปล้นที่ปาล์มบีช ซึ่งถือเป็นชุมชนของผู้มีฐานะ เศรษฐีจากทั้งประเทศต่างมาซื้อบ้านในบริเวณนี้ คุณจะได้เห็นไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้เห็นที่ไหนมาก่อน ซึ่งมันก็มอบบรรยากาศที่น่าทึ่งให้กับหนัง" การขออนุญาตถ่ายทำในปาล์มบีชไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันมีกฏหมายที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1990s เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัยในแถบนี้ แต่ แฮ็คฟอร์ด ก็ตั้งใจที่จะถ่ายทำในที่แห่งนี้ตามที่หนังสือได้เขียนเอาไว้ เขาเผยว่า "โดนัลด์ เวสเลค ใช้ปาล์มบีชเป็นฉากหลังด้วยความตั้งใจ มันถือเป็นส่วนที่สำคัญของหนัง เพราะคุณจะจัดงานประมูลเครื่องเพชรราคา 50-75 ล้านเหรียญได้ที่ไหนนอกจากที่นี่" แฮ็คฟอร์ด ต้องการถ่ายทอดความสมจริงที่อยู่ในหนังสือของ เวสเลค ด้วยฉากแอ็คชั่น สตันท์ และการต่อสู้ที่ทุกอย่างเป็นไปได้ เขาเผยว่า "ผมต้องการถ่ายทอดความรุนแรงแบบสุดทาง แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ผมอยากให้คนดูคิดว่าทุกสิ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ ผมอยากให้ทุกคนเห็น พาร์คเกอร์ แล้วคิดว่าเขาคือมนุษย์ธรรมดา ที่เมื่อโดนต่อยก็เจ็บ และเมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย เราก็จะคิดว่าเขาอาจตายได้ ผมต้องการถ่ายทอดหนังแอ็คชั่นที่ดูแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรเสียดแทงใจอยู่ตลอดเวลา" แฮ็คฟอร์ด พบว่าการมี เจสัน สเตทแธม ในฉากแอ็คชั่น ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น และทำให้เขาสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นได้ซับซ้อนมากกว่าปกติ เขาเล่าว่า "เจสัน เป็นคนที่แสดงสตันท์เองอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ถือเป็นของขวัญของผู้กำกับทุกคน แต่เขายังมีไหวพริบและความฉลาด เขาจะไม่เสี่ยงทำอะไรถ้าไม่จำเป็น แต่เมื่อเขามองเห็นโอกาสที่จะผลักดันฉากต่อสู้ เขาก็จะทำให้มันดียิ่งขึ้น มันมีฉากหนึ่งในช่วงต้นของหนังที่มีการยิงกัน ที่ พาร์คเกอร์ ต้องพุ่งตัวออกมานอกรถขณะที่แล่นด้วยความเร็วสูง สิ่งที่คุณเห็นก็คือ เจสัน ที่พุ่งตัวออกมาจริงๆ เขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย" สเตทแธม เผยว่าฉากที่เขาต้องพุ่งตัวออกมานอกรถ ถือเป็นฉากสตันท์ที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยทำครั้งหนึ่ง เขาเล่าว่า "พาร์คเกอร์ นั่งอยู่ในรถเอสยูวี เขาต้องหนีออกมาจากกลุ่มคนที่กำลังจะฆ่าเขา มันเป็นฉากที่ลำบาก เนื่องจาผมต้องพุ่งตัวออกมาจากหน้าต่างรถ ที่กำลังวิ่งอยู่ด้วยความเร็ว โชคดีที่ผมมีประสบการณ์ในการเป็นนักกีฬากระโดดน้ำทีมชาติสมัยวัยรุ่น ทำให้ผมรู้จังหวะที่จะพุ่งตัวออกมาโดยที่ไม่ติดอะไร และสามารถลงสู่พื้นโดยที่ไม่บาดเจ็บอะไรมาก" สเตทแธม พูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาแสดงฉากสตันท์ด้วยตัวเองทั้งหมดว่า "ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ ผมต้องการทำในสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองทำได้ แต่สิ่งที่คุณต้องคอยระวังในเรื่องนี้ก็คือ การทำบางสิ่งที่ทุกคนยังเชื่ออยู่ว่าเขาคือมนุษย์ ไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่จากวิดีโอเกม เรายังต้องมีการเตรียมพร้อมทางร่างกาย รวมถึงการซักซ้อมกับนักแสดงทุกคนเพื่อความปลอดภัย ซึ่งก็โชคดีที่พวกเรามีทีมสตันท์ที่ผมคุ้นเคยและเคยร่วมงานกันมา" ทีมงานฉากแอ็คชั่นของ Parker ถือเป็นแถวหน้าของหนังแอ็คชั่นฮอลลิวู้ด ซึ่งนำโดยผู้ออกแบบคิวบู๊ ไมค์ แมสซ่า ที่เคยร่วมงานมากับ สเตทแธม จาก The Expendables 1 และ 2 รวมถึงผู้กำกับฉากแอ็คชั่น เดวิด ลีช จาก The Mechanic แฮ็คฟอร์ด เล่าว่า "ผมร่วมงานกับ ไมค์ และ เดวิด เป็นครั้งแรก แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์โชกโชนกับหน้าที่ส่วนนี้ พวกเขาคิดถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นอันดับแรก และก็ผลักดันสิ่งที่สามารถทำได้ไปจนถึงจุดสูงสุด" ฉากหนึ่งที่น่าจดจำที่สุดในหนังเกิดขึ้นในชั้น 26 ของโรงแรมระดับห้าดาวในปาล์มบีช โดย พาร์คเกอร์ ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มมือสังหารที่แก๊งค์ของ มีแลนเดอร์ จ้างมาจัดการกับเขา โดย แฮ็คฟอร์ด ก็เล่าถึงฉากนี้ว่า "หัวหน้าของทีมมือสังหารแสดงโดย แดเนียล เบิร์นฮาร์ด นักแสดงที่มีบทบาทอยู่ในหนังแอ็คชั่นอย่าง The Matrix Reloaded เขาและ เจสัน ต้องต่อสู้กันในหนัง ผมขอบอกเลยว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นมันโหดมาก เพราะพวกเขาอัดกันจริงๆ และตอนสุดท้ายของการต่อสู้ คุณก็จะเห็นเลยว่าทั้งคู่ต่างเจ็บหนักกันจริงๆ มันน่าทึ่งที่คุณได้เห็นนักแสดงที่ทุ่มเทขนาดนี้" สแตทแธม ก็ได้กล่าวสรุปถึงประสบการณ์ในการทำงานของเขาว่า "เทย์เลอร์ มีแรงจูงใจในการทำหนังเรื่องนี้ และห่วงถึงความสมจริงของทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตัวละครที่ผ่านมาของผมมีความสามารถในการต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน คุณจะไม่เคยเห็นเขาบาดเจ็บหนัก แต่ เทย์เลอร์ ต้องการทำในแนวทางที่เป็นจริง เขาต้องการให้ พาร์คเกอร์ เกือบเอาชีวิตไม่รอดในการต่อสู้แต่ละครั้ง เพื่อทำให้คนดูนั่งไม่ติดกับเก้าอี้ เขาจะรอดถึงตอนสุดท้ายไหม แผนการของเขาจะสำเร็จหรือไม่ มันเป็นการเดิมพันที่สูงกว่าหนังทุกเรื่องที่ผ่านมาสำหรับผม" ทีมนักแสดง เจสัน สเตทแฮม (รับบทเป็น พาร์คเกอร์) ในอดีต เจสัน สเตทแธม คือหนึ่งในนักกระโดดน้ำที่เก่งที่สุดของทีมนักกีฬาอังกฤษ เคยได้ที่ 3 ในการแข่งขันโอลิมปิค และได้ตำแหน่งมือวางอันดับที่ 12 ของโลก โดยขณะทำการฝึกซ้อมอยู่ที่ศูนย์กีฬาในลอนดอน ทีมงานภาพยนตร์ก็เกลี้ยกล่อมให้เขาหันมาทำงานถ่ายโฆษณา และทำให้เขาได้พบกับเจ้าของบริษัท เฟรนช์ คอนเน็คชั่น ผู้ซึ่งตอนนั้นกำลังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับเรื่อง Lock, Stock and Two Smoking Barrels ซึ่งกำลังเตรียมงานสร้างกันอยู่ สเตทแธม ได้พบกับผู้กำกับ กาย ริตชี่ ที่ตัดสินใจมอบบทนำในภาพยนตร์เรื่องนั้นให้กับเขา สเตทแธม ได้กลับมาทำงานกับ ริตชี่ อีกรอบในภาพยนตร์เรื่องต่อมา Snatch ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แบร็ด พิตต์ และ เบนิซิโอ เดล โทโร่ ผลงานเรื่องถัดมาของสเตทแธม ได้แก่ Turn It Up ที่เขาร่วมแสดงกับศิลปินเพลง จา รูล ติดตามมาด้วยบทนำในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Ghosts of Mars และได้ประกบบทกับ เจ็ท ลี ในภาพยนตร์เรื่อง The One ในปี 2002 ลุค เบสซง ก็ได้เลือก สเตทแธม ให้รับบทนำเป็น แฟรงก์ มาร์ติน ในภาพยนตร์เรื่อง The Transporter เขายังรับบทเป็น แฮนซั่ม ร็อบ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์ ปี 2003 เรื่อง The Italian Job และยังรับบทนำในภาพยนตร์แอ็กชั่นที่สร้างความระห่ำตลอดเวลาเรื่อง Crank สเตทแธม ยังกลับมารับบท แฟรงก์ มาร์ติน อีกครั้งในภาพยนตร์ภาคต่อ Transporter 2 และได้กลับไปแสดงนำร่วมกับ เจ็ท ลี ในภาพยนตร์เรื่อง War เมื่อเร็วๆ นี้ เขาฝากบทบาทการแสดงเอาไว้ในภาพยนตร์ของ โรเจอร์ โดนัลด์สัน เรื่อง The Bank Job ซึ่งเปิดตัวฉายโดยทำรายได้ในอันดับ 1 ในอเมริกาและสหราชอาณาจักร ผลงานเรื่องอื่นๆของ สเตทแธม ก็คือการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Transporter 3 ซึ่งเปิดตัวในอันดับหนึ่งอีกครั้ง, Crank 2: High Voltage ที่เขากลับไปรับบทเดิม รวมถึง The Expendables 1 & 2 หนังแอ็คชั่นรวมดาวที่เขารับบทเป็นเพื่อนสนิทของ บาร์นี่ย์ รอส ที่รับบทโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เจนนิเฟอร์ โลเปซ (รับบทเป็น เลสลี่) เธอเป็นทั้งนักแสดง นักธุรกิจ และนักร้อง โดยอัลบั้มของเธอขายไปได้ทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด และยังแสดงในหนังที่ขึ้นอันดับหนึ่งในตารางทำเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Monster-In-Law, The Wedding Planner และ Maid in Mathattan โดยในปี 2001 ที่ The Wedding Planner ขึ้นอันดับหนึ่ง และอัลบั้ม J.Lo ก็อยู่ในอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ท ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรก ที่มีทั้งหนังและอัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในอาทิตย์เดียวกัน โลเปซ เริ่มเข้าสู่วงการการแสดงในเรื่อง Mi Familia ที่ทำให้เธอเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award ก่อนที่บทบาทใน Selena หนังอัตชีวประวัติของนักร้องผู้ล่วงลับ ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตก และทำให้เธอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรก โลเปซ ยังมีผลงานการแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่าง Anaconda ที่เงินไปกว่า 136 ล้านเหรียญ, Shall We Dance? หนังที่รีเมคจากหนังญี่ปุ่น ที่ร่วมแสดงกับ ริชาร์ด เกียร์ ก็ทำเงินทั่วโลกไปกว่า 200 ล้านเหรียญ นอกจากนั้นเธอก็ยังมีผลงานคุณภาพอย่าง Out of Sight ของผู้กำกับ สตีเฟ่น โซเดอเบิร์ก ที่ร่วมแสดงกับ จอร์จ คลูนี่ย์ โดยผลงานเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี An Unfinished Life ประกบกับ โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด และ มอร์แกน ฟรีแมน, Jack ประกบกับ โรบิน วิลเลี่ยมส์, Blood and Wine ประกบกับ แจ็ค นิโคลสัน, The Cell ของผู้กำกับ ทาร์เซ็ม ซิงห์ และล่าสุด What to Expect When You’re Expecting หนังรอม-คอมที่เธอร่วมแสดงกับ คาเมรอน ดิแอซ ไมเคิล ชิคลิส (รับบทเป็น มีแลนเดอร์) ผลงาน >>> Fantastic Four 1 & 2, ซีรี่ย์ The Shield, Eagle Eye นิค โนลเต้ (รับบทเป็น เฮอร์ลี่ย์) ผลงาน >>> Warrior, Cape Fear, Hotel Rwanda, 48 Hrs. คลิฟตัน คอลลิน จูเนียร์ (รับบทเป็น รอส) ผลงาน >>> Star Trek, Crank: High Voltage, The Experiment ทีมสร้าง เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด (ผู้กำกับ) เขาคือผู้กำกับมือรางวัลออสการ์ ที่ในปี 2005 เขาก็ได้ทำโปรเจ็คในฝันอย่าง Ray เรื่องราวชีวประวัติของศิลปินในตำนาน เรย์ ชาร์ลส โดยหนังก็ได้เข้าชิงถึง 6 รางวัลออสการ์ และก็ได้รับ 2 รางวัลได้แก่ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (เจมี่ ฟ็อกซ์) และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม โดยหนังก็ยังได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ ซึ่งก็รวมถึงอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีอีกด้วย แฮ็คฟอร์ด เริ่มต้นเส้นทางจากการเป็นนักทำสารคดี ก่อนที่เขาจะกำกับหนังสั้นเรื่องแรกในปี 1979 ที่ชื่อ Teenage Father ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลอสการ์ สาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม ซึ่งทำให้เขาได้รับโอกาสทำงานในฮอลลิวู้ด โดยหนังอย่าง An Officer and a Gentleman ในปี 1982 ที่นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และ เดบร้า วิงเกอร์ ก็กลายเป็นหนังรักสุดคลาสสิก ซึ่งก็ได้รับสองรางวัลออสการ์ นั่นคือเพลงประกอบยอดเยี่ยม (Up Where We Belong) และนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (หลุยส์ กอสเซ็ท จูเนียร์) ผลงานต่อมาของ แฮ็คฟอร์ด ก็ยังมี Against All Odds นำแสดงโดย เจฟฟ์ บริดเจส, เรเชล วาร์ด และ เจมส์ วู้ด, White Nights หนังเต้นสุดคลาสสิกที่นำแสดงโดย มิคาเอล แบริชนิคอฟ และ เกรกอรี่ ไฮนส์, Everybody's All-American นำแสดงโดย เดนนิส เคว็ด, เจสสิก้า ลงค์ และ จอห์น กู้ดแมน รวมถึง Dolores Claiborne ที่สร้างจากนวนิยายขายดีของ สตีเฟ่น คิง นำแสดงโดย เคธี่ เบตส์ และ เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ จอห์น แม็คลาฟลิน (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> Black Swan, Hitchcockสตีฟ แชสแมน (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> The Transporter 1-3, Killer Elite, The Bank Jobไมเคิล มูโร (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Crash, Rush Hour 3, Open Rangeมิสซี่ สจ๊วต (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> The Ugly Truth, Legally Blondeเมลิสซ่า บรุนนิ่ง (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> Friends With Kids, Let Me In, Kissing Jessica Stein
แท็ก the devil   thriller   เมเจอร์   Movie:   sport   2012  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ