กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--สนพ.
สนพ. ร่วมมือกรมธุรกิจพลังงาน ดูแลการผลิตก๊าซหุงต้มให้มีใช้อย่างเพียงพอในประเทศ หลังราคาก๊าซตลาดโลกปรับสูงถึง 467 เหรียญสหรัฐ/ตัน เกรงผู้ค้าก๊าซหันส่งออก พร้อมขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดพลังงาน
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนพ. ได้ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิดให้มี ปริมาณก๊าซหุงต้มอย่างเพียงพอสำหรับผู้ใช้ภายในประเทศ ภายหลังสถานการณ์ราคาก๊าซหุงต้มตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 467 เหรียญสหรัฐต่อตัน แล้วจะส่งผลให้ผู้ผลิตก๊าซหุงต้มหันไปส่งออกมากขึ้น
ทั้งนี้ ราคาก๊าซหุงต้มปรับสูงขึ้นจากเดิมเดือนตุลาคม 2547 ที่ระดับ 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ในเดือนพฤศจิกายน 2547 ที่ระดับ 467 เหรียญสหรัฐต่อตัน จึงอาจจูงใจให้ผู้ผลิตก๊าซหันไปส่งออก เพราะปัจจุบันราคาก๊าซหุงต้มภายในประเทศ รัฐได้กำหนดเพดานไว้ที่ระดับ 315 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งหากเกินจากนี้ผู้ผลิตจะต้องเป็นผู้รับภาระส่วนต่างแทน
กรณีดังกล่าวผู้ผลิตอาจหันมาผลิตเพื่อส่งออกทำกำไรโดยสามารถกระทำได้ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ยังไม่พบเหตุการณ์ใดที่ผิดปกติ แต่ก็ได้มีการดูแลเพื่อให้กลุ่มผู้ผลิตดำเนินการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศเป็นลำดับแรก ซึ่งปัจจุบันประเทศมีความจำเป็นต้องใช้ก๊าซหุงต้มประมาณ 6 ล้านกิโลกรัมต่อวัน
ส่วนการชดเชยราคาก๊าซหุงต้มเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ก๊าซหุงต้มภายในประเทศ ประจำเดือนพฤศจิกายน 2547 ขณะนี้รัฐยังต้องชดเชยอยู่ที่ระดับ 2.89 บาท/กิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระการชดเชยถึง 580 ล้านบาท/เดือน ในการทำให้ราคาก๊าซหุงต้มในประเทศไม่เปลี่ยนแปลงหรืออยู่ที่ระดับ 16.81 บาทต่อกิโลกรัม ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานให้กับประชาชน
โดยราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มถังขนาด 13.50 กิโลกรัม ราคายังคงอยู่ที่ถังละ 234 บาท ถังขนาด 15 กิโลกรัม ราคาถังละ 252 บาท และถังขนาด 48 กิโลกรัม ราคาถังละ 809 บาท ซึ่งแม้ราคาจะยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่ก็อยากขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้ ก๊าซหุงต้ม และประหยัดพลังงานด้วยเช่นกัน--จบ--