PYLON รับงานใหม่เพิ่มอีกมูลค่ากว่า 136 ลบ. หนุน Backlog ทะลุ 860 ล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 4, 2013 15:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--IR PLUS PYLON เร่งทำผลงานตั้งแต่ต้นปี ล่าสุด ประกาศข่าวดีได้รับงานใหม่เพิ่มอีก 9 โครงการ มูลค่ากว่า 136 ลบ. พร้อมทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ “บดินทร์ แสงอารยะกุล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ คาดแนวโน้มผลงานปี 56 จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา จากงานฐานราก และงานก่อสร้างไหลเข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง หนุนBacklog ทะลุ 860 ล้านบาท มั่นใจปีนี้พุ่งชนเป้าหมายรายได้ 1,200 ล้านบาท ได้สำเร็จ นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) ระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการยืนยันการจ้างงานก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น 9 โครงการ รวมเป็นจำนวนเงิน 136,709,751.72 บาท เป็นงานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคาร โครงการคอนโดมีเนียม ที.ซี. กรีน เฟส 2 ของ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร๊อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 75 วัน, งานเสาเข็มเจาะสำหรับงานก่อสร้าง (งานเฉพาะค่าแรง) โครงการ สถานีสูบจ่ายน้ำเพชรเกษมและราษฎร์บูรณะ ของบริษัท เอ็ม.วี.เอส.ดีเวลลอปเม้นท์ 1688 จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 75 วัน งานเสาเข็มเจาะสำหรับงานอาคาร โครงการ ทราเพโซ บริษัท เควสท์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 42 วัน, งานปรับปรุงคุณภาพดินโดยวิธีอักฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง โครงการคอนโดมีเนียม คอนโดเลต ดเวล สุขุมวิท 26 ของบริษัท ฟีนิกซ์ คอนสตรัคชั่น โปรเฟสชั่นแนลส์ จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 57 วัน, งานเสาเข็มเจาะ สำหรับอาคาร โครงการลุมพีนี วัลเล่ย์ ประชาชื่น-กำแพงเพชร 2ของบริษัท ลุมพินี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาก่อสร้าง 72 วัน, งานเสาเข็มเจาะสำหรับงานสะพานยกระดับ โครงการก่อสร้างทางสายพุทธมณฑลสาย 5 ของบริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 56 วัน, งานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคาร โครงการ ซิลค์ พหลโยธิน 9 ของบริษัท เคเอสเอเอส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 52 วัน, งานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคาร โครงการเดอะ ทรี อินเตอร์เชนจ์ ของบริษัท พฤกษา เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ระยะเวลาก่อสร้าง 120 วัน และงานเสาเข็มเจาะ สำหรับงานอาคารได้งานก่อสร้างอาคารจอดรถ ของบริษัท เจริญพัฒนาวิสาหกิจ จำกัด ระยะเวลาก่อสร้าง 57 วัน นายบดินทร์ กล่าวต่ออีกว่า จากการรับงานในโครงการต่าง ๆ ข้างต้นทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ที่รับรู้รายได้อยู่แล้วทั้งสิ้น 860 ล้านบาท แบ่งเป็นงานฐานรากประเภทเสาเข็มเจาะร้อยละ 55 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึง Q2/56 และงานก่อสร้างร้อยละ 45 จะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2556 ทั้งปี นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้เข้าประมูลงานใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะสนับสนุนให้ยอดงานในมือเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 900 - 1,000 ล้านบาทได้ เนื่องจากงานฐานราก เป็นงานที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ดังนั้น การที่มีงานใหม่ในมือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง น่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาระดับ Backlog ให้อยู่ในระดับดังกล่าวได้ “ทิศทางงานฐานรากเสาเข็มเจาะ และงานก่อสร้างในปี 2556 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตสดใส จากงานโครงการต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชนที่ไหลเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สัญญา 1 และ 2 ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและเขียวก็กำลังดำเนินการอยู่ จึงเชื่อว่าในปีนี้จะเป็นปีที่ดีของบริษัทฯ อย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายรายได้ในปี 2556 ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลงานใน Q4/2555 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง และจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของ PYLON เมื่อเทียบกับช่วง Q2 /2555 และ Q3/2555 ที่ผ่านมา เนื่องจาก ปัญหาการตั้งสำรองจากลูกค้าที่มีปัญหาของบริษัทลูก และผลขาดทุนที่เกิดจากบริษัทลูกของ PYLON คือ บริษัท เอ็กซิลอน จำกัด นั้นได้รับรู้ผลกระทบต่างๆ และตั้งสำรองทางบัญชีไปหมดเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) (PYLON) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานฐานราก แบ่งออกเป็น 3 สายงานหลัก ดังนี้ คือ 1.งานเสาเข็มเจาะ (Bored Pile) เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มที่นิยมใช้กับการก่อสร้างฐานรากของโครงสร้างขนาดใหญ่ และโครงสร้างอาคารในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด นอกจากนี้เสาเข็มเจาะยังลดมลภาวะเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือนเมื่อเทียบกับการใช้เสาเข็มตอก นอกจากนั้น การก่อสร้างเสาเข็มเจาะนั้นสามารถปรับเปลี่ยนขนาดได้ ตามการออกแบบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มโดยวิศวกร และสภาพชั้นดินในแต่ละพื้นที่ 2.งานปรับปรุงคุณภาพดิน (Ground Improvement) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับโครงสร้างดินเดิม ทำให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักมากขึ้นและป้องกันการเคลื่อนตัวของดิน โดยบริษัทมีการให้บริการงานประเภทนี้โดยวิธีการอัดฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง (Jet Grouting) ที่ความดันประมาณ 200 ถึง 400 บาร์ 3.งานก่อสร้างกำแพงกันดินชนิดไดอะแฟรม (Diaphragm Wall) เป็นการก่อสร้างกำแพง เพื่อใช้เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักและป้องกันการเคลื่อนตัวของดินทางด้านข้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของชั้นจอดรถใต้ดิน กำแพงอาคารผู้โดยสารสำหรับระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ลอดทางแยก เป็นต้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ