สรุปราคาซื้อขายทองคำและ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 09.00 น.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 15, 2013 11:13 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,645 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,647 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 29.82 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 23,200 บาท กับ 23,300 บาท และกลับมาปิดที่ 23,200 บาท กับ 23,300 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาทอยู่ที่ 2,819 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 6,625 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 26 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 2 % แบบ 10 บาท เพิ่มขึ้น 0.4 % และ Silver Futures ลดลง 6 % GFG13 ปิด 23,360 บาท และ GFJ13 ปิด 23,500 บาท GF10G13 ปิดที่ 23,370 บาท GF10J13 ปิดที่ 23,490 บาท SVG12 ไม่มีปริมาณการซื้อขาย สัญญา Comex ปิดลดลง 9.6 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,635.5 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดลดลง 51 เซ็นต์ ที่ระดับ 30.35 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,322.97 ตัน (ขายออก 3.02 ตัน) น้ำมัน NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 30 เซ็นต์ ปิดที่ระดับ 97.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ลดลง 9.52 จุด ปิดที่ 13,973.39 จุด ข่าวที่สำคัญ Bullion Desk, Reuters, Bloomberg, Kitco News, Market Watch ราคาทองคำในเช้านี้ทรงตัว แต่แกว่งตัวใกล้บริเวณจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ หลังจากเมื่อคืนได้ปรับตัวลดลงมากที่สุดตั้งแต่เดือน ธ.ค. เนื่องจากขาดความต้องการจากฝั่งเอเชีย เนื่องในวันตรุษจีน ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่านักลงทุนยังคงลังเลที่จะเข้าถือสถานะ Long และจากตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปที่ออกมาแย่ลง ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมาก (มากกว่า 1 เซนต์) อยู่ต่ำกว่าระดับ 1.34 ดอลลาร์ต่อยูโร โดยจีดีพีไตรมาสที่ 4 ของฝรั่งเศส เยอรมันและอิตาลีออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ โดยจีดีพีของอิตาลีออกแย่กว่าคาดมากที่สุด (ต่ำกว่าคาด -0.9%) ส่วนจีดีพีของยูโรโซนออกมาแย่กว่าคาดที่ -0.6% จากคาด -0.4% ซึ่งเป็นอัตราการหดตัวที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งมีภาวการณ์หดตัวครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ จีดีพีไตรมาส 4 ญี่ปุ่นออกมา -0.4% ลดลงจากคาดที่ 0.4% ยังคงหดตัวเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน การขาดความต้องการจากต่างประเทศ ส่งผลเสียต่อทั้งอียูและญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4 และยังมีคำถามว่าจะมีการฟื้นตัวได้ในอนาคตหรือไม่ ? เพราะทั้งอีซีบี และประชาคมยุโรป (EC) ได้คาดว่าการเติบโตจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังจองปีนี้จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการจากต่างประเทศ ทำให้การส่งออกฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่สภาทองคำโลก (WGC) เผย เป็นปัจจัยหนุนว่า ความต้องการทองคำได้เพิ่มขึ้น 0.4% สู่ระดับ 1,195.9 ตัน เป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในไตรมาสที่ 4 ปี 2012 จากความต้องการของจีนและอินเดีย ขณะที่มูลค่าของความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 6% แตะระดับใกล้ 6.62 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยความต้องการเครื่องประดับทองคำ และความต้องการจากธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดรอบ 48 ปี (เพิ่มขึ้น 29% หรือ 145 ตันในไตรมาส 4 ส่วนทั้งปีเพิ่มขึ้น 17% สู่ 534.6 ตัน โดยเปลี่ยนจากผู้ขายเป็นผู้ซื้อ) ได้เอาชนะความต้องการเพื่อการลงทุนและภาคส่วนเทคโนโลยีที่ลดลงได้ แต่ Reuters กล่าวว่า ถ้าคิดเป็นทั้งปี 2012 ความต้องการทองคำได้ลดลง 4% สู่ระดับ 4,405.5 ตัน จากระดับ 4,582.3 ตันในปี 2011 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 จากการซื้อเครื่องประดับที่ลดลงทั้งในอินเดียและจีน อีกทั้งการลงทุนในเหรียญทองคำและทองคำแท่งของสหรัฐและยุโรปที่ลดลง ได้กดดันราคาทองคำ (ส่วนมูลค่าความต้องการทองคำแตะระดับ 2.364 แสนล้านดอลลาร์ โดยราคาเฉลี่ยทั้งปีเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 1,669 เหรียญ โดยความต้องการทองคำในอินเดียเพิ่มขึ้น 41% ในเดือน ต.ค. — ธ.ค. จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และยังคงเป็นผู้ใช้ทองคำอันดับที่ 1 ของโลกในปี 2012 โดยช่วงต้นปีความต้องการชะลอลง แต่ฟื้นตัวในปลายปี ขณะที่จีนความต้องการเพิ่มขึ้นในต้นปี และลดลงในไตรมาสที่ 3 และเกือบเท่าเดิมในไตรมาส 4 โดยความต้องการของจีนทั้งปี ลดลง 776.1 ตันจาก 779.8 ตันในปี 2011 ส่วนความต้องการในไตรมาส 4 อยู่ที่ 202.5 ตัน ใกล้เคียงจากไตรมาส 4 ปี 2011 ที่ 199.6 ตัน สภาทองคำโลกยังกล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะควบคุมการนำเข้าทองคำ แต่คาดว่าอินเดียจะซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2013 นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และรูปีที่เริ่มแข็งค่า ทำให้เพิ่มความต้องการทองคำในปีนี้ ขณะที่การผลิตทองคำได้ลดลง 1.4% ในปี 2012 อยู่ที่ 4,453.3 ตัน เนื่องจากการนำวัตถุดิบเดิมกลับมาใช้ (Recycle) ลดลง โดยการผลิตในจีนและกาน่าเพิ่มขึ้น ขณะที่การผลิตของประเทศอื่นลดลง สมาชิกอีซีบี และประธานธนาคารกลางออสเตรีย นายโนวอทนี่ กล่าวว่า ไม่จำเป็นที่อีซีบีจะแทรกแซงค่าเงินในตอนนี้ และไม่คิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องในเรื่องสงครามค่าเงิน แม้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจับตาค่าเงินเนื่องจากส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยการประชุม G7 ได้ยืนยันว่าจะใช้กลไกตลาดในการกำหนดค่าเงิน และจะไม่แทรกแซงค่าเงิน ส่วนนโยบายของธนาคารกลางจะเน้นนโยบายภายในประเทศอย่างเดียว และค่าเงินส่งผลต่ออีซีบีเพียงแค่เสถียรภาพของราคาในยูโรโซนเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุว่าทำให้เงินเฟ้อ หรือเงินฝืด นอกจากนี้วิกฤตหนี้เริ่มบรรเทาลง แต่ยังมีปัญหาอยู่ เช่น การเติบโตที่ยังอ่อนแอเกินไป และการเงินสาธารณะในบางประเทศที่ยัง “ไม่น่าพอใจ” อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาการประชุม G20 ในวันนี้และวันเสาร์ ที่จะแถลงถึงมุมมองของค่าเงิน ที่นโยบายผ่อนคลายของแต่ละประเทศได้เพิ่มความกังวลเรื่องสงครามค่าเงิน รวมถึงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ตัวเลข Unemployment Claims ออกมาดีขึ้น ทำให้เพิ่มความหวังว่าภาคแรงงานจะฟื้นตัวได้ กดดันราคาทองคำ ประธานเฟดสาขาเซนต์ หลุยส์ นายบุลลาร์ด กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ จากการตัดสินใจเพิ่มการซื้อพันธบัตร 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ส่งผลให้สินทรัพย์ในงบดุลเพิ่มขึ้น ที่อาจจะทำให้เกิดความยุ่งยาก และขัดขวางความสามารถของเฟดในการถอนนโยบายทางการเงินที่มากเกินไป อย่างเหมาะสม และเขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะโตเพิ่มขึ้น 3.2% ในปีนี้ รวมถึงส่วนภาคแรงงานก็ได้ฟื้นตัวมาเล็กน้อย ที่อาจจะทำให้เฟดชะลอการซื้อพันธบัตรจากอัตรา 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่ไม่ได้หยุดไปทั้งหมด พรรคเดโมแครตเสนอแผนที่จะเลื่อนการตัดลดงบประมาณอัตโนมัติ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในงบทางการทหารและโครงการภายในประเทศ ออกไป 10 เดือน ที่จะเริ่ม 1 มี.ค. และเสนอแผนจำนวน 1.10 แสนล้านดอลลาร์ แทนการตัดลดโดยทั่วกัน ด้วยการตัดงบทางทหาร ตัดเงินช่วยเหลือโดยตรงแก่เกษตรกร และให้ผู้มีรายได้สูงจ่ายภาษีในอัตรา 30% เป็นอย่างน้อย หรือเรียกว่า Buffet Rule ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินและรายได้อย่างแท้จริง ซึ่งการปิดช่องว่างทางภาษี คือ การลดค่าใช้จ่ายนั่นเอง ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อชนชั้นกลาง เพราะช่องว่างทางภาษีเป็นประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูง และเร่งให้พรรครีพลับลิกันไม่ยืนกรานที่จะตัดลดทั้งหมดที่ส่งผลต่อทั้งชนชั้นกลางและผู้มีรายได้สูง นายโอบามากล่าวว่า ข้อเสนอในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาของเขาจะไม่เพิ่มการขาดดุลให้กับสหรัฐ ซึ่งแผนนี้ต้องใช้งบหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน ซึ่งจะมีการลงมติในกลาง มี.ค. ขณะที่พรรครีพลับลิกันยังมีความสงสัยเกี่ยวกับประเด็นที่นายโอบามาขอให้เพิ่มระดับเพดานหนี้ 16 ล้านล้านดอลลาร์ และของบประมาณเพิ่มด้วย แต่เขาไม่ได้ระบุว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับแผนนี้ อีกทั้งแผนงบประมาณก็จะยังไม่ได้ออกมาจนกว่ากำหนดการสิ้นสุดวันที่ 1 มี.ค. Standard Banks กล่าวว่า เราเห็นด้วยว่าการถือ Long ในตอนนี้เป็นความเสี่ยง แต่คาดว่าราคาจะฟื้นตัวได้ และคงกลยุทธ์ที่ให้ถือ Long มากกว่าสำหรับเฉลี่ยทั้งปี และคาดว่าราคาเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 1,720 เหรียญในปีนี้ เว็บไซต์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า จอร์จ โซรอส เจ้าของฉายา "พ่อมดการเงิน" สามารถทำเงินได้ราว 1 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว จากการซื้อขายเงินเยน การซื้อขายเงินเยนกลายเป็นกระแสนิยมในวอลล์สตรีทในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากญี่ปุ่นมุ่งมั่นที่จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงและกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อคืน - Unemployment Claims ออกมาที่ 341,000 ราย จากตัวเลขเดิมครั้งที่แล้ว 366,000 ราย ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ - Empire State Manufacturing Index คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ -2.1 จากตัวเลขเดิมครั้งที่แล้ว -7.8 - TIC Long-Term Purchases คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 34.3B จากตัวเลขเดิมครั้งที่แล้ว 52.3B - Prelim UoM Consumer Sentiment คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 74.8 จากตัวเลขเดิมครั้งที่แล้ว 71.3 วิเคราะห์ทางเทคนิค Gold — ราคาทองคำแกว่งตัวค่อนข้างมากเมื่อคืนวานนี้ในช่วงการซื้อขายตลาด COMEX โดยลักษณะเป็นการแกว่งตามข่าว และขยับขึ้นลงในกรอบ 1,640 — 1,650 เหรียญ มีการแกว่งตัวขึ้นลงสองครั้ง ครั้งละประมาน 8-10 เหรียญทีเดียว เมื่อเวลาหลังสี่ทุ่มครึ่ง ราคาย่อตัวลงมาโดยตลอดจนหลุดแนวรับระดับ 1,640 เหรียญลงมาและในช่วงการซื้อขายท้ายตลาด COMEX มาอยู่ที่ 1,635 เหรียญ ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากตัวเลขการว่างงานที่ออกมาน้อยลงประมาณ 20,000 กว่าตำแหน่ง และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ส่วนค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับประมาณ 29.82 บาท/ดอลลาร์ และเช้านี้อ่อนค่าลงเล็กน้อยประมาณ 2 สตางค์มาอยู่ที่ 29.84 บาท/ดอลลาร์ เช้านี้ราคาทองคำปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 1,632 เหรียญโดยประมาณ ในเชิงเทคนิคราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาลงตามที่ MTS ได้วิเคราะห์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าเป็นลักษณะลงแบบขั้นบันได คือลงแล้วพักแล้วลงต่อ ในคืนนี้ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯคาดการณ์ว่าจะออกมาดีขึ้น ในด้านการผลิตและตัวเลข Consumer Sentiment ก็คาดการณ์ว่าจะออกมาดีขึ้นเช่นกัน จึงแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวังเนื่องจากราคาทองคำอาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเมื่อคืนกองทุน SPDR ก็ได้ขายทองคำออกมา 3.02 ตัน คงทองคำที่ระดับ 1,322.97 ตัน ในเชิงเทคนิคยังมองเป็นแนวโน้มขาลง โดยมีแนวรับจุดต่ำสุดเดิมคือระดับ 1,625 เหรียญ สิ่งสำคัญคือถ้าหลุดระดับ 1,625 เหรียญ ก็มีโอกาสจะลงไปที่ระดับ 1,600 เหรียญเลย ซึ่งน่าจะเป็นแนวรับสุดท้ายในรายสัปดาห์ ยังแนะนำให้เก็งกำไรในทิศทางขาลง และย้ำให้ลดสถานะ Long Position ลง ตามช่วงเวลาที่นักลงทุนเห็นว่าเหมาะสม ในวันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,630 — 1,640 เหรียญ โดยมีโอกาสที่จะหลุดลงมาได้บ้าง Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 23,200 บาท และแนวต้านที่ระดับ 23,400 บาท Gold Futures J13 จะมีแนวรับที่ระดับ 23,320 บาท และแนวต้านที่ระดับ 23,540 บาท Silver Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 870 บาท และแนวต้านที่ระดับ 920บาท คำแนะนำ สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade) เก็งกำไรในภาวการณ์แกว่งตัวในกรอบ 1,630 — 1,640 เหรียญ เก็งกำไรในทิศทางขาลง คาดว่าน่าจะมีแรงซื้อและขายสลับกัน นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade) ซื้อกลับเพื่อทำกำไร หลังจากที่ให้ถือ Short Position มาสองสามวันแล้ว นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง เปิด Short Position เป็น 20% ของพอร์ท ให้ถือครองเป็นระยะยาว รอจังหวะซื้อปิดทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวที่บริเวณแนวรับ บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ