กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ เผยยอดขายในปี 2555 โต 23% เตรียมเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาด เดินหน้าขยายกำลังผลิตเพิ่ม 35% ในปี 2556

ข่าวทั่วไป Monday March 4, 2013 16:29 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์ - แถลงงบลงทุน 4,000 ล้านบาทในปี 2556 - เปิดสายการผลิตใหม่ 4 สาย พร้อม เปิดโรงงานใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง - ดัน “โค้ก” ติดลมบนด้วยแคมเปญการตลาดยิ่งใหญ่ต้อนรับหน้าร้อน - เปิดตัว วงโปเตโต้ และโจอี้ บอย เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ใหม่ของเครื่องดื่มโค้ก วันนี้ กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และพันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่าย ได้แก่ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) รายงานอัตราการเติบโตของยอดขายของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 23% ในปี 2555 พร้อมเปิดเผยงบลงทุนถึง 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในปีนี้ การลงทุนดังกล่าวจะใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของบมจ. หาดทิพย์ ซึ่งจะพร้อมเดินเครื่องในเดือนเมษายนนี้ ในขณะที่บจ. ไทยน้ำทิพย์ เตรียมติดตั้งอีกสี่สายการผลิตใหม่ ในโรงงานต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นพร้อมใช้งานในเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป มร. แอนโตนิโอ เดล โรซาริโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยขึ้นอีกประมาณ 35% รวมถึงจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ในฐานะผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าสานต่อพันธกิจระยะยาวที่สำคัญในเมืองไทยของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ปัจจุบัน ประเทศไทยนับเป็นตลาดที่แบรนด์โค้กมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโคคา-โคลาทั่วโลก” นายพรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “เรามียอดขายและการเติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2555 ที่ผ่านมา พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 55.5% รวมถึงความเป็นผู้นำในตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ณ เดือนมกราคม 2556 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 16.5%” นายพรวุฒิ กล่าวต่อไปว่า “กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ โดยรวมได้ลงทุนในเทคโนโลยีล่าสุด รวมถึงสายการผลิตที่ผลิตได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ช่วยให้เรามีศักยภาพรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ปรับเปลี่ยนแบบไม่หยุดนิ่งของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการต่อยอดความมุ่งมั่นของเราในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายพรวุฒิ เปิดเผยว่า “ในเดือนนี้บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จะเปิดสายการผลิตใหม่ที่มีความเร็วสูงระดับซูเปอร์ไฮสปีดที่โรงงานในรังสิตเพื่อผลิตเครื่องดื่มอัดลม ซึ่งช่วยให้เราพร้อมรองรับความต้องการด้านการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน นอกจากนั้น ภายในปีนี้ไทยน้ำทิพย์จะเดินเครื่องสายการผลิต เพิ่มอีกสามสาย ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มอัดลม และเครื่องดื่มไม่อัดลมของบริษัท ได้เพิ่มมากขึ้น โดยสายการผลิตทั้งสี่สายดังกล่าวใช้เงินลงทุนติดตั้งประมาณ 2,600 ล้านบาท” นายพรวุฒิ กล่าวว่า “นอกจากนี้ หลายปีที่ผ่านมา เรายังได้ลงทุนมหาศาลไปกับการปรับปรุงซัพพลายเชน และเพิ่มขีดความสามารถในการกระจายสินค้า เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จคือการให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่า สินค้าของเราจะอยู่ในที่ที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม และในคุณภาพที่เป็นที่ต้องการ เรามุ่งเน้นนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนด้านลอจิสติกส์และเพิ่มกำไรให้กับร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ของเรา” “เราได้ปรับเปลี่ยนระบบการขายจากแบบเร่ขายดั้งเดิมไปสู่รูปแบบใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาระบบลอจิสติคส์รวมถึงการใช้งานให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้นถึง 50% พร้อมกับลดความสูญเปล่าด้านพลังงานและทรัพยากร นอกจากนี้ ปัจจุบันเราขายสินค้าได้ถึง 99% ของเครื่องดื่มทั้งหมดที่เราโหลดขึ้นรถเพื่อไปส่งยังร้านค้า โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 65% ในปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีการจัดระบบการทำงานใหม่ ทำให้สามารถรับคำสั่งซื้อได้ก่อนที่สินค้าจะถูกโหลดขึ้นรถและนำไปส่งยังร้านค้า จึงช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง และช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการสูญเปล่าด้านการขนส่งสินค้าในการออกวิ่งรถแต่ละครั้ง และลูกค้าก็ได้รับสินค้าตามที่ต้องการ” นายพรวุฒิกล่าว นายพรวุฒิ กล่าวเสริมว่า “นอกจากนี้ เรายังได้เพิ่มจำนวนพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายลอจิสติกส์ ฝ่ายผลิต ฝ่ายกระจายสินค้าและบริการลูกค้ารวม 500 คน รวมถึงเพิ่มความสามารถของศูนย์บริการลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในปี 2555 ที่ผ่านมาพนักงานบริการลูกค้าของเราใช้เวลาอยู่กับลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของเวลาการทำงานทั้งหมด จากเดิมที่ใช้เวลาเพียง 25% เมื่อช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งเวลาของพนักงานบริการลูกค้าได้ถูกใช้ไปกับการเดินทางและการประชุมของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ ทำให้โอกาสในการใช้เวลากับลูกค้ามีน้อย ดังนั้นการที่เราริเริ่มรูปแบบใหม่ในการบริการและทำงานกับร้านค้าทั้งหมดดังกล่าว ก็เพื่อให้เราสามารถบรรลุยังเป้าหมายตามแผนที่เราได้วางไว้ ในการก้าวขึ้นมามีเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลูกค้าอยากจะทำงานด้วยมากที่สุด” มร. เดล โรซาริโอ กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยถือเป็นกลุ่มธุรกิจรายเดียวในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ ที่เป็นการผสานความแข็งแกร่งของตราสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกของเดอะ โคคา-โคลา คอมปะนี เข้ากับขีดความสามารถระดับสุดยอดในการผลิตและจัดจำหน่ายของวงการในประเทศไทย คือ ไทยน้ำทิพย์ และหาดทิพย์ เพื่อให้การบริการลูกค้า ร้านค้า และสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค” มร. เดล โรซาริโอ กล่าววว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยรวมของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ คือ ความเป็นเลิศในการมอบความสดชื่นแก่คนไทย ด้วยการเป็นบริษัทเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ที่โดดเด่น และมีสินค้าในตลาดครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้ได้มากที่สุด คือ มีทั้งเครื่องดื่มที่มอบความซ่าสดชื่น น้ำผลไม้พร้อมดื่ม และน้ำดื่มบริสุทธิ์ รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่สูงด้วยคุณภาพต่างๆ” “ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย มีวางจำหน่ายเครื่องดื่มรวม 9 ตราสินค้า โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าดังกล่าวมากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ เฉพาะแบรนด์น้ำอัดลมของเราเพียงอย่างเดียวก็มีมากกว่า 20 ขนาดบรรจุ ซึ่งนับว่ามากและหลากหลายที่สุดในตลาดเลยทีเดียว” มร. เดล โรซาริโอ กล่าว “กลยุทธ์ทางธุรกิจของเราก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ไปพร้อมๆ กับการขยายตลาดเครื่องดื่มไม่อัดลมของเราให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายวิสัยทัศน์ระดับโลกของ เดอะ โคคา-โคลา คอมปะนี ที่จะขยายธุรกิจทั่วโลกของเราให้โตขึ้นสองเท่าภายในปี 2020 (หรือ พ.ศ. 2563)” มร. เดล โรซาริโอ กล่าวเสริม มร. เดล โรซาริโอ กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปี 2556 ของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ส่วนหนึ่งก็คือเราจะลงทุนด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้แบรนด์สินค้าของเราสามารถที่จะเชื่อมโยงเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป พร้อมกับการขับเคลื่อนนวัตกรรมการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ “วันนี้ คือ วันเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแคมเปญฤดูร้อนประจำปีของแบรนด์หัวหอกของเรา นั่นคือ เครื่องดื่มโค้ก โดยจะมีการประกาศเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ทีมใหม่ ได้แก่ วงดนตรีป๊อปร็อคแถวหน้าของเมืองไทย คือ ‘วงโปเตโต้’ และนักร้อง/โปรดิวเซอร์เพลงแนวฮิปฮอปชื่อดัง‘โจอี้ บอย’ นอกจากนั้น เรายังเตรียมกิจกรรมการตลาดเขย่าวงการเอาไว้เต็มแม็ก ที่จะทยอยปล่อย ออกมาในระยะสามเดือนข้างหน้า เริ่มจากกิจกรรมปูพรมทั่วประเทศต้อนรับเทศกาลสงกรานต์” มร. เดล โรซาริโอ กล่าว พลตรีพัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท หาดทิพย์ (มหาชน) จำกัด กล่าวว่า“เราลงทุนไปกับโรงงานผลิตเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของเราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพื่อพร้อมรองรับกับพัฒนาการด้านการกระจายสินค้า นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และความสำเร็จของแคมเปญการตลาดของเรา” พลตรีพัชร เปิดเผยว่า ในเดือนเมษายนนี้ บมจ. หาดทิพย์พร้อมที่จะเปิดโรงงานใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยงบลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมบรรจุขวดเพ็ท (PET) ของหาดทิพย์ขึ้นอีกสามเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้นโรงงานใหม่ดังกล่าวยังสามารถรองรับการผลิตเครื่องดื่มไม่อัดลมในอนาคตอีกด้วย “นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าลงทุนในโครงการเพื่อความยั่งยืนของเราอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และกิจกรรมเพื่อชุมชน ในปี 2556 นี้เรามีแผนที่จะลงทุนกว่า 50 ล้านบาทในโครงการเพื่อความยั่งยืน ร่วมกับเครือข่ายองค์กรพันธมิตรต่างๆ ของเรา” พลตรีพัชร กล่าว “กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยภูมิใจอย่างยิ่งที่ โครงการรักน้ำ ของเราเป็นหนึ่งในโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำชุมชนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาโครงการของกลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลา ทั้งหมดในทวีปเอเชีย ปัจจุบันเราประสบความสำเร็จในการ ‘สร้างสมดุลน้ำเชิงบวก’ ซึ่งหมายถึงว่า โครงการต่างๆ ของเราสามารถคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติในปริมาณที่มากกว่าที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์และ ในกระบวนการผลิต” พลตรีพัชร กล่าว พลตรีพัชร กล่าวว่า “จุดเด่นอื่นๆ ในโครงการเพื่อความยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ได้แก่ โครงการส่งเสริมสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มกีฬาฟุตบอลและจักรยาน โครงการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ผ่านกิจกรรมน้ำทิพย์คิดมาเพื่อโลก และโครงการเพื่อชุมชน ได้แก่ โครงการ-อาสาสมัครพลังบวก” กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย คือ ผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในประเทศไทย นอกจากนั้น ยังเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วยส่วนแบ่งตลาด 55.5% ณ สิ้นปี 2555โดยได้เดินหน้าเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ส่วนแบ่งตลาดของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาได้เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5 จุด และเติบโตรวม 8 จุดเมื่อนับรวมในรอบ 24 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยยังเป็นผู้นำ ในตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มของไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 16.5% ณ เดือนมกราคม 2556 ในปี 2555 ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมของไทยมีมูลค่าประมาณ 44,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์โดยรวมมีมูลค่าประมาณ 169,000 ล้านบาท [ที่มา: นีลเสน] ติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.icoke.co.th และ www.facebook.com/cocacola

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ