บทสัมภาษณ์ เจเนท เขียว

ข่าวทั่วไป Thursday August 25, 2005 14:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
จากบทบาทของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องลูกทุ่งในภาพยนตร์เรื่อง “ฟอร์มาลีนแมน รักเธอเท่าฟ้า” ซึ่งทำให้เจเนท เขียวได้โชว์ความสามารถเต็มที่ทั้งร้อง ทั้งเต้น ขนก๊อปปี้โชว์มาใส่ในหนังอย่างไม่อั้น ความสามารถของนักร้องสาวฉายา สาวพันหน้าหรือเจเนท สาวก๊อปปี้โชว์รวมทั้งอารมณ์ขันและมุขตลกที่มีอยู่ทำให้ผู้กำกับชื่อดังอย่างเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลาหรือหม่ำ จ๊กมกเลือกเจเนทให้มารับบทเจ้ย หญิงสาวผู้มีใจรักมั่นในตัวแหยม พระเอกของเรื่องในหนังอารมณ์ดีสไตล์ลูกทุ่งอย่าง แหยม ยโสธร และมีข้อแม้ว่าถ้าเจเนท เขียวไม่ตอบตกลงเล่นหนังเรื่องนี้ ก็จะยกเลิกโปรเจกต์ทันที
ในเรื่องแหยม ยโสธรรับบทเป็นใคร
“ รับบทเป็นเจ้ยค่ะเป็นพี่เลี้ยงนางเอกเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา มีอะไรแอบซ่อนอยู่ข้างในใจเยอะ เป็นคนที่คอยดำเนินการแทนนางเอกทั้งหมด เป็นตัวชักจูงพานางเอกไปนั่นไปนี่ คือในเรื่องพระเอกนางเอกเขาเป็นคู่กันเขาชอบรักกันอยู่แล้วแต่ในเรื่องเราแอบหลงรักแหยม (หม่ำ จ๊กมก) เราก็จะหาทางไปพัวพันพยายามเอาตัวไปใกล้ชิดเขาเพราะว่าหลงรักเขาอยู่ ในเรื่องจะต้องแต่งหน้าให้มีตกกระดำ ๆ ฟันเหลือง มีไฝเม็ดเบ่อเร่อติดอยู่ที่หน้า แต่ตอนท้ายจะมีฉากที่เราต้องสวยด้วยค่ะ”
ทำไมถึงรับเล่นเรื่องนี้
“รับเล่นเพราะว่าเค้าบอกว่าจะให้เป็นางเอก (หัวเราะ) ใครจะดื้ออยู่ได้ เพราะว่าถ้าไม่รับเล่นเรื่องนี้ คนอื่นเค้าก็จะติดกับบทบาทของเราที่เคยเล่นเป็นแต่คนใช้ตลอด อันนี้เป็นนิมิตใหม่ค่ะ ขอให้เขียวเป็นนางเอกมั่งเหอะ
เมื่อกี้เห็นบอกว่ามีเติมไฝ หน้าตาน่าเกลียด แล้วไม่กลัวตัวเองเหรอเวลาแต่งหน้าเสร็จ
“ถ้าไม่ดูกระจกก็ไม่กลัวค่ะ ถ้าดูกระจกก็จะรู้สึกว่า ทำไมตัวเองน่าเกลียดได้ขนาดนี้ (หัวเราะ) จริง ๆ นะแม้กระทั่งช่างแต่งหน้าเค้ายังบอกเลยว่า ถ้ามีผู้หญิงแบบนี้เค้าจะหาผัวได้มั้ย ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจมากเลยคะ แต่ว่าคนเราจะมีจุดดีไม่เหมือนกัน ผู้ชายบางคนเค้าไม่มามองที่หน้าตา ผู้หญิงบางคนที่บอกว่าตัวเองไม่สวยแต่แฟนหล่อมากเลยก็มี การที่แต่งหน้าขี้เหล่แบบนี้ในบท เราก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะตัวจริงเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าเราสวยเลยแต่งขี้เหล่ยาก แต่พอเอาเข้าจริงปรับตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย แปะไฝเข้าไปก็ขี้เหร่ได้เหมือนกันคะ”
รู้สึกอย่างไรที่เรื่องนี้ได้เป็นนางเอกเต็มตัว
“ภูมิใจมากกกกค่ะ ( ลากเสียงยาว ) หน้าอย่างนี้นะคะจะได้เป็นนางเอก ดีใจมาก ดีใจที่พี่หม่ำไม่เปลี่ยนใจ”
แล้วครั้งแรกที่พี่หม่ำติดต่อไปรู้สึกอย่างไรบ้าง
“ก็ตื่นเต้น ตอนแรกนึกว่าพี่หม่ำแซวเล่น เพราะว่าพี่หม่ำเคยพูดไว้เมื่อตอนไปออกรายการชิงร้อยชิงล้านนานมากแล้ว ตอนนั้นไปเป็นปรัศนีย์ให้ในรายการ พอเจอพี่หม่ำเค้าก็บอกว่าจะให้เป็นนางเอกหนัง เขาพูดภาษาอีสานประมาณว่า “ตัวต้องเป็นนางเอก” เราก็ตอบไปว่า “อีหลีบ่” หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดถึงอีกจนนานเป็นปีจนไม่นึกว่าจะเป็นจริง ก็ต้องขอบคุณพี่หม่ำอย่างที่สุดเพราะเราก็อยากเล่นมากถึงขนาดเทคิวทั้งหมดให้หนังเรื่องนี้ ส่วนรายการต่างๆ เนี่ยต้องแยกคิวไว้ต่างหากเลย ต้องเอาหนังเรื่องนี้มาก่อน”
ในเรื่องต้องพูดอีสานทั้งเรื่องเลย
“ทั้งเรื่องเลยคะซึ่งปกติก็พูดภาษาอีสานได้อยู่แล้วแต่ว่าจะเหน่อนิดนึงเพราะว่าเป็นคนโคราช สำเนียงก็จะเหน่อ ๆ แข็ง ๆ จริง ๆ แล้วเราโชคดีตรงที่บ้านอยู่ติดกับจังหวัดชัยภูมิ แล้วจ.ชัยภูมิเขาจะพูดภาษาอีสาน เราก็เลยได้ทั้งสองภาษา ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ สบายๆ”
มีการเตรียมตัวก่อนที่จะมาเล่นเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
“ เตรียมตัวเยอะเลยคะ เช่นดูละคร ดูหนังฝรั่ง คือเราไม่มีเวลาไปฝึกไปเข้าคอร์สกับคุณครูส่วนมากจะดูละครแล้วเลียนแบบ อย่างดูละครที่น้องนุ่น วรนุช วงษ์สรรค์เล่น เวลาที่เค้าพูด เค้าแสดงมันจะมีความน่ารักในตัวเอง มีความเป็นธรรมชาติ แต่เรายังห่างไกลน้องเค้าหลายขุม เราไม่ได้เป็นมืออาชีพอย่างน้องนุ่น ก็จะเลียนแบบในเรื่องการแสดงพอถึงบทเศร้าเราก็จะสะเทือนใจ ร้องไห้ตาม พอกำลังร้องไห้ได้ที่ปั๊บก็จะเดินไปที่กระจกดูว่าหน้าตาตอนนั้นมันเป็นอย่างไร เวลาดูหนัง ดูละครต้องมีสมาธิตลอด อย่างดูหนังฝรั่งจบ เราก็มานั่งนึกนั่งจินตนาการซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะสมมติเหมือนมันมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างเหมือนอย่างในหนัง แล้วก็ทำตามเขาพอไปดูกระจกปรากฏว่าหน้ามันเหมือนเอเลี่ยน ( หัวเราะ ) เหมือนตัวประหลาดเป็นบ้าอยู่ชั่วขณะ บ้าไม่มีที่สิ้นสุด จริงๆ แล้วต้องค้นหาอะไรอีกเยอะในเรื่องการแสดงแต่เรื่องร้องเพลงเนี้ยะถึงไหนถึงกัน สู้ตายแต่ถ้าการแสดงตลกก็จะดูพี่ตุ๊ก ญาณีหรือพี่ท๊อป ดารณีนุช เป็นตัวอย่าง”
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องก่อนที่เคยแสดงมามีความยากง่ายแตกต่างกันอย่างไร
“มันจะยากแต่เป็นความยากที่เราภูมิใจ เรื่องอื่นที่เราไปเล่นก็เหมือนตัวประกอบแต่เป็นตัวประกอบที่มีบทพูด ซึ่งบทไม่เยอะขนาดนี้ เรื่องนี้เราเล่นทั้งเรื่องถือเป็นตัวเอกและเค้าโครงเรื่องก็มาจากตัวเราเป็นตัวคิดเป็นตัวการ”
ร่วมงานกับหม่ำ จ๊กมก เป็นยังไงบ้าง
“การทำงานกับพี่หม่ำเหรอ ตอนแรกก็เกร็งๆ กลัวเค้าจะอารมณ์เสียถ้าเราเล่นไม่ได้ แต่พอมีการผิดพลาดเกิดขึ้นพี่หม่ำจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปเลย อย่างมีอยู่ฉากนึงเราทำไฝหลุดตอนที่กำลังเข้าฉาก เราก็จะเกร็งพยายามบังไฝไว้ พอเค้าสั่งแอ็คชั่นเราก็เอามือบัง แต่มันยังอยู่ในไดอาล็อคที่ต้องพูดต้องคุยกัน ปรากฏว่าพี่หม่ำเค้าดันหันมาเห็นก็เลยถามว่า “อะไรอ่ะ” ก็เลยบอกว่า “ไฝหลุด” เค้าก็ขำกัน ก็สั่งคัทแล้วเอาใหม่ ไม่ซีเรียส เราก็ค่อยๆวางใจ มั่นใจขึ้น แล้วก็มีสติในการทำงานต่อไปโดยไม่ต้องกังวลว่าพี่เค้าจะมาตวาดหรือจะดุเวลาที่แสดงไม่ได้ก็เลยทำงานแบบมีความสุขขึ้น”
“พี่หม่ำสอนหลายอย่างเลย ทั้งจังหวะ การปล่อยอารมณ์แล้วก็ความเป็นะธรรมชาติในการแสดง สังเกตได้พี่หม่ำเขาจะเล่นเป็นธรรมชาติมาก แต่ของเรานี่ยังติดจับเสื้อจับผ้า แบบว่ามันกังวลไงต้องหาที่จับแก้เขิน เราก็เลยเกร็งกับการแสดงมาก เราต้องคอยปรับอารมณ์และความรู้สึกให้เหมือนกับว่าเราเป็นเจ้ยจริง ๆ มันจะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม”
มีตรงไหนที่พี่หม่ำเน้นมั้ยว่า ตรงนี้ต้องยังงี้นะ ห้ามหลุดนะ
“ก็เรื่องของการรักษาคาแรกเตอร์ของเจ้ยเอาไว้ให้ได้ เจ้ยจะต้องกล้าแสดงออก รักเดียวใจเดียว รักแล้วต้องเอามาให้ได้อะไรพวกนี้มากกว่า”
แล้วในเรื่องมีส่วนร่วมในการเพิ่มเติมมุขตลกบ้างหรือเปล่า
“มีแต่งกลอนค่ะ ขอพี่หม่ำแต่งเองเลยเป็นกลอนแบบหวานเลี่ยนคือในหนังเราจะรักพี่หม่ำมากเห็นเค้าหล่อมากที่สุดในดวงใจ ไม่มีผู้ชายคนไหนเทียบเท่าเค้าอีกแล้ว ก็ไปซื้อหนังสือศาลาคนเศร้ามาอ่านซื้อหนังสือทุกอย่างที่มันเป็นกลอน ในเรื่องเราต้องจีบพี่หม่ำแบบหวาน หวานจนเอียนก็จะเอามาจากศาลาคนเศร้าอย่างละนิดละหน่อย นอกนั้นที่เหลือก็แต่งเองหมดเลยแต่งทั้งหมดสามกลอนและก็เอามาอ่านให้พี่หม่ำฟัง พี่หม่ำเขาก็เออ ๆได้เดี๋ยวเอาใส่ในเรื่องเลยนะ ส่วนในเรื่องของมุขตลกบังเอิญว่ามีหนังสือทะลึ่งอยู่เยอะก็เลยเอามาปรับใช้กับการแสดงได้”
เล่นเรื่องนี้ยากง่ายยังไงบ้าง
“บทนี้พี่หม่ำบอว่าให้เขียวเล่นเป็นเขียวได้เลย เล่นเป็นตัวของตัวเองไปเลย เราก็ถามว่าพี่เขียวต้องไปเรียนแอคติ้งเพิ่มมั้ยพี่ พี่หม่ำบอกว่าไม่ต้องเขียว เขียวเล่นไปเลยเล่นยังไงก็เป็นเจ้ย มองยังไงเจ้ยก็เป็นตัวเรา ยังไงก็ต้องกราบขอบพระคุณอย่างมากเลยคะ ที่เห็นเขียวเป็นเจ้ยได้ เห็นว่าเขียวเล่นบทนี้ได้ คือถือว่าเป็นการยื่นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิต เพาะว่าบทที่เขียวได้ทุกวันนี้ก็ยังเป็นบทคนใช้อยู่เป็นส่วนใหญ่ แล้วเรื่องนี้ได้มาเล่นเป็นคนนำเรื่องเลย”
ทำงานกับทีมพี่หม่ำเป็นยังไงบ้าง
“สนุกค่ะ ทีมงานหรือนักแสดงเรื่องนี้เค้าจะเล่นแบบผ่อนคลายตามสไตล์เค้า สนุกสนาน แรกๆ ตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ เราจะไม่กล้าเราจะเกรงใจ กลัวผิด กลัวคนดู เป็นคนขี้เกรงใจคือเมื่อมีคนมาพูดอะไรกับเราปุ๊บเราจะเสียความรู้สึกกับเค้า คือเราจะกลัวไปก่อนแต่พอถึงเวลาจริงๆ ทุกคนจะผ่อนคลาย ทีมงานแหยม ยโสธรเป็นทีมที่น่ารัก ไม่เคยเจอมาก่อน น่ารักมาก บรรยากาศในกองถ่ายก็สนุกมากด้วย”
พี่หม่ำก็คิวทอง พี่เขียวก็งานเยอะแบ่งคิวถ่ายยังไง
“คิวพี่หม่ำเค้าเองก็มีจำกัด เดี๋ยวพี่หม่ำต้องไปต่างประเทศบ้าง พี่หม่ำเค้าเทคิวให้เรื่องนี้หมดเลย จะเอาคิววันไหนขอให้บอกเหอะ คิวไหนตรงกับถ่ายทำพี่เค้าก็จะเลื่อนให้ เขียวเองก็เลยต้องเลื่อนเหมือนกันขนาดพี่หม่ำยังยกคิวให้ได้ เขียวเองก็ต้องทำให้เวลามันตรงกันจนได้ ถ้าวันไหนมีถ่ายตอนเช้าก็มาเล่นให้แล้วตอนเย็นก็ไปรับงานแสดงข้างนอกต่อ แต่ตอนนี้ไม่มีงานประจำแล้ว จะมีก็แต่รับงานทั่วๆ ไป จะมีก็ที่โคลิเซี่ยมที่เดียว ถ้าเราไม่ไปก็จะมีวงกบ-โยเกิร์ตมาเล่นแทนให้”
ที่ผ่านมามีฉากไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษหรือเปล่า
“ ประทับใจทุกฉากเลยค่ะ มีความสุขที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ ทุกฉากมีความหมายกับเรามากเล่นทีไรก็เหมือนกับฝันทุกครั้ง ว่า...เออนี่เราได้เล่นเป็นตัวนำเล่นเยอะด้วยได้เล่นหลายบทหลายตอน ได้พูดเยอะ ได้เล่นเยอะ ได้เป็นตัวขมวดเรื่องราว เป็นตัววางหมาก คือเรื่องมันเกิดเพราะเจ้ยคนเดียวเลยไม่ว่าจะเล่นอะไรก็ตามเราก็จะอุ๊ย!!! ได้เป็นนางเอกด้วย คู่พี่หม่ำด้วย มันจะมีคนดูมากมั้ยจะนึกไปถึงวันฉายแล้วก็มีความรู้สึกว่าอยากให้มีคนมาดู อยากให้คนให้กำลังใจเราเยอะๆ ไม่ได้เพื่อตัวเองนะ เพื่อพี่หม่ำเพื่อทีมงานด้วยเค้าจะได้ภูมิใจว่าเลือกคนไม่ผิด เรานึกไปถึงตรงนั้นเลยนะ ถ้าไม่มีคนมาดูเค้าจะผิดหวังอยากให้มีคนมาดูเยอะๆ เพราะโดยรวมแล้วองค์ประกอบของหนังเรื่องนี้มันดีหมดเลย”
“มีประทับใจฉากบ้ากามด้วย ฉากที่ต้องเล่นอารมณ์หื่น ๆ เรามีความรู้สึกว่าเราเล่นได้ถึงบทดี (หัวเราะ) หื่นอยากจะได้ผู้ชาย แบบว่าอยากปล้ำแหยมมาก (หัวเราะ)”
สนุกมั้ยได้แต่งตัวย้อนยุค
“สนุกมากเลยค่ะ สู้ตาย ตอนที่เรามีงานออกไปเล่นตามงานต่าง ๆ มันก็ได้แต่งตัวก๊อปปี้คนนั้นคนนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ในหนังเรื่องนี้ก็ได้ก๊อปปี้เหมือนกัน แต่เป็นการก๊อปปี้การแต่งตัวของคนสมัยก่อนมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ใช้เหตุการณ์สมัยก่อนมานำเสนอ ให้คนดูรู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มสาวบ้านนา”
บทเจ้ยค่อนข้างตรงกับตัวเองหรือไม่
“ก็ค่อนข้างตรงนะ โผงผาง ทำอะไรไม่อายหน้าด้าน ส่วนในเรื่องของความรักก็เหมือนกันจะเป็นคนที่พยายามทำทุกอย่าง โดนเค้าเหยียบย่ำก็สู้ไม่ถอย เป็นคนที่มุ่งมั่นในเรื่องความรัก รักแล้วรักเลยไม่เปลี่ยนใจแต่จะไม่ฝากความหวังไว้กับเค้าไว้เท่าไหร่ คือแค่เรารักเค้าก็พอแล้ว เป็นกำลังใจให้กัน เคียงคู่เรา คือไม่ต้องรักมาก แต่ว่าอยู่ด้วยแล้วมีความสุขทุกอย่างเหมือนเจ้ยเลย เราจัดการเองทุกอย่าง ทำเองทุกอย่าง ทุ่มเท เราเป็นคนที่ให้ได้ทุกอย่างเลย”
เท่าที่เล่นมาพอใจกับตัวเองไหม
“พอใจมากคะ นอกจากบางซีนที่เรารู้สึกว่าเราน่าจะเพิ่มอะไรให้กับตัวเองได้มากกว่านี้อีกนิด แต่พี่หม่ำเค้าดูแล้วเค้าก็โอเค ก็ถือว่าพอใจแล้วล่ะคะ”
เรื่องงานตัวเองตอนนี้มีอะไร ไปถึงไหนแล้ว
“อัลบั้มนี้จะไม่เกี่ยวกับหนังเลยคะ ชื่ออัลบั้มว่า “โอเย” เป็นชุดที่สามแล้วคะ คนจะรู้จักสาวดำรำพันมากกว่าชุดอื่นคะ ออกขายตั้งแต่ปี 46 ตอนนี้ยังดันทุรังขายอยู่เลยคะ จะขายไปให้ถึงปี 50 เลยคอยดู (หัวเราะ)”
สุดท้ายอยากให้ฝากผลงานเรื่องแหยม ยโสธร
“ก็อยากให้คนดูทุกคน พี่ๆ น้องๆ ทั่วประเทศเลยที่เป็นกำลังใจให้เขียวตั้งแต่เริ่มต้นทำรายการ ไม่ว่าจะเป็นก๊อปปี้โชว์ตั้งแต่เริ่มต้นร้องเพลง เริ่มต้นออกรายการแล้วก็ให้กำลังใจเรามาตลอด อยากให้เค้าเป็นกำลังใจในการแสดงหนังด้วย เพราะว่าอยากให้ทุกคนที่เอาเขียวมาเล่นเรื่องนี้ ไม่ผิดหวัง อยากให้เห็นว่าเขียวพัฒนาฝีมือไปถึงไหนแล้ว เขียวทำอะไรได้บ้าง นอกจากร้องเพลง นอกจากพิธีกรก็อยากให้ตัดสินเราในเรื่องการแสดงด้วย ฝากเรื่องแหยม ยโสธรในอ้อมอกของทุกคนด้วยนะค่ะ”--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ