กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--บมจ. หลักทรัพย์บัวหลวง
บมจ. หลักทรัพย์บัวหลวง ประกาศความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ เตรียมขายไอพีโอ 40 ล้านหุ้นปลายม.ค. ปี 48 ราคาพาร์หุ้นละ 2 บาท วางแผนนำเม็ดเงินไปรองรับการขยายธุรกิจหลักทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียน เผยรายงานผลประกอบการรอบ 9 เดือน ก้าวกระโดดกว่าเกือบเท่าตัวเทียบจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
นายชอง โท กรรมการผู้อำนวยการ ร่วมกับนายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟล์ลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 40 ล้านหุ้น เรียบร้อยแล้วเมื่ออาทิตย์สัปดาห์ที่ผ่านมา โดย แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 27.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ J.P. Morgan Group จำนวน 12.5 ล้านหุ้น คิดเป็น…..% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน โดยมีบริษัท ไอเอฟซีที แอดไวสเซอรี่ รี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ประมาณปลายอย่างเร็ว คือกลางเดือนมกราคม ปี 2548 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต.
“เมื่อต้นปี 2547 ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 125 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท และที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้เพิ่มทุนจำนวน 55 ล้านหุ้น รวมเป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 180 ล้านหุ้น หรือเท่ากับ 360 ล้านบาท แบ่งเป็น เสนอขายกรรมการและพนักงาน 7 ล้านหุ้น เสนอขายประชาชนทั่วไป 27.5 ล้านหุ้น และรองรับการแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพของธนาคารกรุงเทพ 20.5 ล้านหุ้น บริษัทคาดว่าจะสามารถระดมทุนช่วงการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้กับประชาชนได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจหลักทรัพย์ตามความเหมาะสม ลงทุนในการพัฒนาธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสำรองเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต” นายชอง โท กล่าว
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ เผยถึงผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาว่า บริษัทมีรายได้รวม 739.5 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 115.6 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากค่านายหน้า 642.5 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมบริการและอื่น ๆ 97.0 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.92 บาท สำหรับรายได้ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมานี้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ในรอบ 9 เดือนของปีที่แล้ว คิดเป็น 61% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 147% ส่วนปี 2546 บริษัทมีรายได้รวมทั้งปีเท่ากับ 1,042.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 187.1 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.50 บาท
นายญาณศักดิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 ว่า ด้านธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) นั้น ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทในช่วง 9 เดือนของปี 2547 เท่ากับร้อยละ 3.31 นับเป็นโบรกเกอร์อันดับที่ 9 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลจนถึงปัจจุบัน บริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับที่ 8 นอกจากนี้บริษัทได้ยังเปิดสาขารามอินทรา เป็นสาขาที่ 22 ในเดือนเมษายน 2547 ในส่วนของงานวิจัยสามารถครอบคลุม 130 หลักทรัพย์ คิดเป็น 81% ของมูลค่าตลาด และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดชำระค่าซื้อขายผ่านบัญชีธนาคารอัตโนมัติเพิ่มอีก 2 ธนาคาร รวมเป็น 7 ธนาคาร คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 1 ปี 2548 รวมทั้งมีแผนที่จะเปิดให้บริการดูข้อมูลและซื้อขายหลักทรัพย์ทางโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบ Mobile trading คาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548 ด้านธุรกิจวานิชณิชธนกิจ (Investment Banking) บริษัทได้เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 13 บริษัท และมีบทบาทในตลาดทุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยมีส่วนร่วมในการระดมทุน การควบรวมกิจการ และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงบริษัทลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ อาทิ การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.การบินไทย มูลค่ากว่า 20,500 ล้านบาทในปี 2546 การเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบมจ. ไทยออยล์ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาทในปี 2547 นอกจากนี้บริษัทได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงของ บมจ. ไทยเคนเปเปอร์ บมจ. บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และ บมจ. รพ.บำรุงราษฎร์ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่บริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น บมจ. ยูนิเวนเจอร์ บมจ.บ้านปู บมจ.ไทยผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม บมจ. ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เป็นต้น รวมถึงการร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 13 บริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ด้านธุรกิจการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีกองทุนภายใต้การจัดการเพิ่มจาก 4,982 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 5,518 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2547 มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.11 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 4.20 เป็นลำดับที่ 2 เมื่อเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นด้วยกัน
ปัจจุบันบมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง มีสำนักงานทั้งสิ้น 23 แห่ง (รวมสำนักงานใหญ่) แบ่งเป็นสำนักงานในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 14 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทอาจจะพิจารณาเปิดสำนักงานเพิ่ม เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมในการทำธุรกิจและมีความพร้อมทางด้านบุคลากร
นายชอง โท กล่าวเสริมถึงโครงสร้างการถือหุ้น ภายหลัง IPO และการขายหุ้นของกลุ่ม เจ.พี.มอร์แกน รวมถึง การแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของธนาคารกรุงเทพ และการขายหุ้นของนายกรณ์ จาติกวณิช และกลุ่ม เจ.พี.มอร์แกน ว่า กลุ่ม เจ.พี. มอร์แกน จะนำหุ้นทั้งหมด 12.5 ล้านหุ้น ออกเสนอขายพร้อมกับการให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ทั้งนี้นายกรณ์ จาติกวณิชจะนำหุ้นจำนวน 5.65 ล้านหุ้น ออกจำหน่ายให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัท ในราคาเท่ากับราคาเสนอขายต่อประชาชน ณ วันแรกที่หุ้นของบริษัทเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET ดังนั้นสัดส่วนการถือหุ้นของนายกรณ์ จาติกวณิช จะลดลงเหลือเท่ากับ 0.3%
และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 20.5 ล้านหุ้น ณ วันแรกของการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป ทำให้โครงสร้างการถือหุ้นหลัง IPO จะเป็นดังนี้เมื่อเริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นดังนี้ ธนาคารกรุงเทพมีสัดส่วนการถือหุ้น 5756.34% ส่วนของผู้บริหาร บริหารและพนักงาน 17.82% และผู้ถือหุ้นอื่นๆ อื่น ๆ อีก 25.8443%
ปัจจุบันบมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง มีสาขาทั้งสิ้น 23 สาขา (รวมสำนักงานใหญ่) แยกเป็นสาขากรุงเทพฯ และปริมณฑล 9 สาขา และต่างจังหวัดอีก 14 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพธุรกิจและบุคลากร
สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์
ที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์
โทร.0-1944-1972 หรือ piyawan_anan@yahoo.com--จบ--