กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--Aziam Burson-Marsteller บทบาทของภูมิภาคเอเชีย ภูมิภาคเอเชียมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการถ่วงดุลเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติทางการเงินใน ปี 2540-2541 เป็นต้นมา กล่าวคือ ภาคการเงินและภาคเอกชนในภูมิภาคมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น จุดยืนทางการค้าในต่างประเทศมีเสถียรภาพ และจีดีพีของประเทศต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนช่วงวิกฤติ อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงคือ ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ยังคงดำเนินนโยบายการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเร่งการส่งออก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลในระดับสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7 ปี และสกุลเงินที่อ่อนค่ากว่าที่ควรจะเป็นยิ่งเป็นส่วนเสริมให้เกินดุลมากขึ้นซึ่งจากนี้ไป สถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยจากแรงกดดันภายนอกและความมั่นใจที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียเริ่มปล่อยให้ค่าเงินของประเทศตนแข็งค่าขึ้น ซึ่ง เลแมน บราเดอร์ส เห็นว่า การเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยในปี 2548 ภูมิภาคเอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดในหลากหลายด้านนับตั้งแต่การเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เสมือนการเปลี่ยนจากภาวะวิกฤติกลับสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพ เลแมน บราเดอร์ส คาดการณ์ว่า ค่าเงินสกุลหลักของเอเชียจะแข็งค่าเพิ่มขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลง ตลอดจนความต้องการภายในประเทศจะดีดตัวพุ่งสูงขึ้นขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง ปัจจัยพื้นฐานมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ภูมิภาคเอเชียมีความแปรปรวนจากปัจจัยภายนอกในระดับต่ำ เนื่องจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเหนือระดับพอเพียง นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคเอกชนและภาคการเงินของภูมิภาคมีการปรับตัวที่ดีขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับที่ดีที่สุดก็ตาม ทำให้ภูมิภาคเอเชียมีความสามารถในการทำกำไรและมีงบดุลที่ดีขึ้น รวมทั้งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ การที่ธนาคารในภูมิภาคเอเชียได้ให้ความสำคัญกับประเด็นความเสี่ยงในการให้สินเชื่อส่งผลให้ธนาคารมีเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 8 ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 10 อย่างไรก็ดี ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียประสบความคืบหน้าในระดับที่แตกต่างกัน โดยภาคการเงินของจีน ไทย และฟิลิปปินส์ ยังคงมีความอ่อนแอแต่โดยรวมแล้ว การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีความคืบหน้าอย่างมาก อาทิ การลงทุนเพื่อดำเนินธุรกิจต่างๆ ที่ช่วยหนุนเสริมให้จีดีพีของภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ในปี 2547 ปรับตัวสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมาก่อนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และธนาคารต่างๆ เริ่มปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อภาคครัวเรือน ทิศทางของสินเชื่อภาคครัวเรือน ด้วยนโยบายการเปิดเสรีทางการเงิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิต) และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ ในระดับต่ำ นับเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ภาคครัวเรือนในภูมิภาคเอเชียมีการกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วในประเทศเกาหลีที่มีการกู้ยืมมากเกินไปจนทำให้เกิดวิกฤติการณ์บัตรเครดิตขึ้นในปี 2545 อย่างไรก็ตาม การกู้ยืมสินเชื่อของภาคครัวเรือนในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยยังมีอัตราการออมเงินที่สูง การขยายตัวของชนชั้นกลาง เมื่อพิจารณาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ เลแมน บราเดอร์ส คาดว่า รายได้ต่อหัวโดยเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 5,770 เหรียญสหรัฐในปี 2541 เป็น 7,470 เหรียญสหรัฐในปี 2547 โดยรายได้ ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการซื้อสินค้าภายในประเทศขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งมีจำนวนโทรศัพท์มือถือในทุกๆ 100 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเพิ่มขึ้นจาก 3 เครื่องในปี 2541 เป็น 109 เครื่อง ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีนยังเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2546 ชาวจีนเดินทางไปท่องเที่ยว ในต่างประเทศสูงถึง 20 ล้านคน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีจำนวนสูงกว่านักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น และมีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะพุ่งสูงถึง 24 ล้านคนในปี 2547 แนวโน้มพฤติกรรมของประชากรวัยทำงานรุ่นใหม่ สัดส่วนของประชากรวัยทำงานในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างเด่นชัด ซึ่งแตกต่างจากภูมิภาคอื่นๆ ของโลก และเมื่อเทียบกับรุ่นบิดามารดาที่มีความประหยัดมัธยัสถ์ ประชากรรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียจะใช้ชีวิตแบบเสรีมากขึ้น โดยแยกออกจากครอบครัวบิดามารดาเพื่อมาใช้ชีวิตอย่างอิสระ และมีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวและกิจกรรมยามว่างเพิ่มขึ้น การขยายตัวของสังคมเมืองที่รวดเร็ว ประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกประมาณร้อยละ 40 อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับภูมิภาคละตินอเมริกาและสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราการขยายตัวของชุมชนเมืองประมาณร้อยละ 75 และ 60 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) กำลังมีการขยายตัวของสังคมเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมีการบริหารจัดการที่ดีแล้วจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวและเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ (Economy of scale) ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นในการสร้างผลกำไรและรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารโลก คาดการณ์ว่า ประชากรในสังคมเมืองของภูมิภาคเอเชียจะเพิ่มขึ้นถึง 500 ล้านคนในระหว่างปี 2543 — 2568 การคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีในปี 2548 ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีในระดับสูง เลแมน การประมาณการของตลาดโดยรวม ความแตกต่าง บราเดอร์ส (ร้อยละ) ฮ่องกง 5.5 4.5 1 อินโดนีเซีย 5.8 4.9 0.9 ไต้หวัน 5 4.2 0.8 เกาหลีใต้ 4.9 4.1 0.8 มาเลเซีย 6 5.3 0.7 ไทย 6 5.6 0.4 จีน 8.3 8 0.3 ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีในระดับปานกลาง สิงคโปร์ 4.5 4.4 0.1 ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีในระดับต่ำ ฟิลิปปินส์ 3.7 4.2 -0.5 การคาดการณ์จีดีพีที่แท้จริงและดัชนีราคาผู้บริโภค* จีดีพีที่แท้จริง ดัชนีราคาผู้บริโภค (การเติบโตเทียบเป็นร้อยละปีต่อปี) (การเติบโตเทียบเป็นร้อยละปีต่อปี) ไตรมาส 3 ปี 2547 2547 2548 2549 พฤศจิกายน 2547** 2547 2548 2549 จีน 9.1 9.2 8.3 8.5 2.8 4.1 3.5 2.5 ฮ่องกง 7.2 8 5.5 4.8 0.2 -0.4 2.5 4.5 อินโดนีเซีย 5 4.9 5.8 6.5 6.2 6.2 6.4 5.5 มาเลเซีย 6.8 7 6 6 2.1 1.5 3 3.5 ฟิลิปปินส์ 6.3 5.9 3.7 4 8.2 5.9 7.5 7.5 สิงคโปร์ 7.5 8 4.5 4.3 2 1.7 1.8 1.5 เกาหลีใต้ 4.6 4.3 4.9 5.5 3.3 3.8 3.4 3 ไต้หวัน 5.3 5.7 5 5 1.5 1.9 3 2.5 ไทย 6 6 6 6 3 2.8 3 2.5 ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) 7.1 7.2 6.5 6.7 2.9 3.4 3.5 3 * เป็นการคาดการณ์แบบ modal forecast ซึ่งเป็นการคาดการณ์ผลที่มีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่สุด ** ดัชนีราคาผู้บริโภคของฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นข้อมูลประจำเดือนตุลาคม Satida Sritunyatorn Media Relations Manager Aziam Burson-Marsteller Tel: 0 2252 9871 x122 Fax: 0 2254 8353--จบ--