ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท “บ. เบทาโกร” ที่ระดับ “A/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 4, 2013 15:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระหนี้และใช้ในการขยายการดำเนินงานตามแผน อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และนโยบายการขยายธุรกิจในรูปแบบการร่วมทุน ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของต้นทุนธัญพืชและราคาสินค้าเกษตรซึ่งมีความผันผวนเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารได้ต่อไป โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์อาหารจะช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทได้บางส่วน ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะคงนโยบายในการรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างทุนให้อยู่ในระดับ 50% ในระยะกลางถึงระยะยาว บริษัทเบทาโกรก่อตั้งในปี 2510 โดยกลุ่มตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ และปัจจุบันมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ณ เดือนธันวาคม 2555 ตระกูลแต้ไพสิฐพงษ์ถือหุ้นในบริษัททั้งโดยตรงในสัดส่วน 14.33% ของหุ้นทั้งหมด และถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัทแม่คือ บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง จำกัด อีก 69.45% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 6 สาย ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจไก่ ธุรกิจสุกร ธุรกิจเครือภูมิภาคและอาหาร ธุรกิจสุขภาพสัตว์ และธุรกิจอื่น ๆ ระหว่างปี 2550-2554 รายได้จากธุรกิจไก่มีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 40% ของรายได้รวมของบริษัท รองลงมาคือธุรกิจอาหารสัตว์ (37%) และธุรกิจสุกร (14%) รายได้จากการขายภายในประเทศคิดเป็น 86% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2554 ในขณะที่รายได้จากการส่งออกมีสัดส่วน 14% ตั้งแต่การร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2523 บริษัทก็ยังคงดำเนินนโยบายการร่วมทุนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวญี่ปุ่น การขยายธุรกิจผ่านการร่วมทุนนอกจากจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสำหรับการส่งออกแล้ว ยังเป็นประโยชน์แก่บริษัทในการปรับปรุงการดำเนินงานและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเลื้ยงสุกร SPF (Specific Pathogen Free) ซึ่งเป็นการเลี้ยงสุกรให้ปลอดจากโรคและสารตกค้าง ผลสำเร็จจากการร่วมทุนทำให้บริษัทเติบโตโดยลำดับจนเป็นผู้นำในการผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูงในประเทศไทยและมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 3 ในธุรกิจเนื้อไก่ ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจไก่และสุกรแบบครบวงจรตั้งแต่อาหารสัตว์ไปจนถึงการแปรรูปเนื้อไก่และสุกรเป็นอาหารสำเร็จรูป การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทมีมาตรฐานในระดับสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับ ตลาดส่งออกหลักของบริษัทคือประเทศญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศประชาคมยุโรป โดยสินค้าที่ส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นการส่งออกผ่านทางผู้ร่วมทุนของบริษัท บริษัทให้ความสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างตราสินค้าเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์พื้นฐานของบริษัทซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ในระหว่างปี 2549-2554 ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 16%-18% ของยอดขายรวมของบริษัทในแต่ละปี สำหรับตลาดในประเทศนั้น บริษัทได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายของตนเองผ่าน “ร้านเบทาโกร” เพื่อให้บริการผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและร้านอาหาร โดย ณ เดือนธันวาคม 2555 บริษัทมีร้านเบทาโกร 97 สาขาทั่วประเทศไทยและมีเป้าหมายจะเปิดเพิ่มเป็น 147 สาขาภายในปี 2557 ผลประกอบการของบริษัทในปี 2554 อยู่ในระดับที่ดีตามวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรม โดยยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 58,850 ล้านบาทในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้น 16.7% จากปี 2553 ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักคือปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจอาหารสัตว์และราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 12.9% ในปี 2553 เป็น 14.3% ในปี 2554 เนื่องจากราคาเนื้อไก่และเนื้อหมูที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 5,656 ล้านบาทในปี 2554 หลังจากราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2554 อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์บกได้เข้าสู่วัฏจักรตกต่ำในปี 2555 ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการสัตว์บกหลายรายลดลงอย่างมากในปี 2555 เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายได้ขยายกำลังการผลิตจนทำให้เกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด ตามข้อมูลของสมาคมอาหารสัตว์ไทย ราคาเนื้อไก่เฉลี่ยปรับตัวลดลงเหลือ 35.50 บาทต่อกิโลกรัมในปี 2555 หรือลดลง 20.8% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยในช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาเนื้อสุกรเฉลี่ยก็ลดลงเป็น 53.99 บาทต่อกิโลกรัมหรือลดลง 16.1% เมื่อเทียบกับปี 2554 นอกเหนือจากราคาเนื้อสัตว์บกที่ตกต่ำแล้ว ต้นทุนอาหารสัตว์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในครึ่งหลังของปี 2555 เนื่องจากเกิดภาวะแห้งแล้งในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับหนึ่งของโลก แรงกดดันจากราคาเนื้อสัตว์บกที่ปรับตัวลงและต้นทุนอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทรวมถึงผู้ประกอบการอื่นในอุตสาหกรรมลดลงอย่างมากในปี 2555 ภาระหนี้ของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2555 จากระดับ 8,355 ล้านบาทในช่วงสิ้นปี 2554 เนื่องจากมีการลงทุนขยายธุรกิจตามแผนและความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นหลังจากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นมาก โดย ณ สิ้นปี 2555 ราคากากถั่วเหลืองนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 19.11 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 33.5% จากสิ้นปี 2554 ราคาข้าวโพด ณ สิ้นปี 2555 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10.25 บาทต่อกิโลกรัมหรือเพิ่มขึ้น 3.3% จากสิ้นปี 2554 อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในปี 2556 เนื่องจากราคาเนื้อไก่ได้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40 บาทต่อกิโลกรัมในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาสุกรได้ปรับตัวขึ้นเช่นกันมาอยู่ที่ระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัมในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะเดียวกันราคากากถั่วเหลืองได้อ่อนตัวลงหลังจากประเทศบราซิลและอาร์เจนติน่าซึ่งเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองลำดับ 2 และลำดับ 3 มีผลผลิตเพิ่มขึ้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (BTG) อันดับเครดิตตราสารหนี้: BTG14NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 A BTG16NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A BTG18NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A BTG183A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ