ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. ธนชาต” ที่ “A/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 5, 2013 16:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100% โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนชาต อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีแนวทางการบริหารงานที่ระมัดระวัง ตลอดจนความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และการมีฐานเงินทุนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายและความสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่กลุ่มธนชาตมีอยู่อย่างกว้างขวางทั่วประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันต่ออัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ระมัดระวังของผู้บริหารและจุดแข็งทางธุรกิจของบริษัทในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารธนชาตและยังคงเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนชาตต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาระบบจัดการความเสี่ยงเอาไว้ให้มีเพียงพอเพื่อใช้ควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ อีกทั้งบริษัทจะสามารถเรียกคืนส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศให้กลับคืนมาได้ในอนาคตอันใกล้ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาตสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ที่ระดับ 4%-5% โดยในปี 2555 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด 4.8% ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 7 จากโบรกเกอร์ จำนวน 32 ราย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 บริษัทได้ลงนามในสัญญาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับ Daiwa Securities Group Inc. (Daiwa) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมมือกันด้านการเผยแพร่บทวิเคราะห์ (Co-branded Research) แก่กลุ่มลูกค้าสถาบันจากต่างประเทศ ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานนักลงทุนต่างชาติได้อีกครั้งหลังจากต้องสูญเสียปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนต่างชาติไปกว่า 90% จากการสิ้นสุดการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะเวลา 5 ปีกับพันธมิตรต่างชาติรายหนึ่งไปในปี 2553 บริษัทใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารธนชาตในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยมาโดยตลอด โดยราว 36% ของบัญชีเปิดใหม่ในปี 2555 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารธนชาต เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2554 และ 15% ในปี 2553 ธนาคารธนชาตได้เสนอผลตอบแทนที่จูงใจแก่พนักงานเพื่อให้พนักงานแนะนำลูกค้าของธนาคารให้มาใช้บริการของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการวาณิชธนกิจแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องในกลุ่มธนชาตด้วย นอกเหนือจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารธนชาตยังให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทด้วย โดยกว่า 65% ของวงเงินสินเชื่อที่บริษัทมีอยู่เป็นวงเงินสินเชื่อจากธนาคารธนชาต การเกื้อหนุนเหล่านี้ช่วยทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่มีความสัมพันธ์กับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทางการเงินเต็มรูปแบบ บริษัทมีเงินลงทุนที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงในตราสารทุนของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 2-3 บริษัท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 มูลค่าตลาดของเงินลงทุนเหล่านั้นอยู่ที่ 1,042 ล้านบาท แม้ว่าเงินลงทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนแก่บริษัทในรูปของรายได้จากเงินปันผล แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อยู่บ้าง นอกเหนือจากนี้ บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ไม่มากนักเนื่องจากบริษัทมีนโยบายการลงทุนเพื่อผลตอบแทนแบบ Arbitrage กับการซื้อขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) เท่านั้น โดยไม่ได้มีการเก็งกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์รายวัน ในส่วนของความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อนั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 พันล้านบาท เทียบกับ 1.9 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 โดยยอดสินเชื่อของบริษัทในระดับดังกล่าวคิดเป็น 6% ของสินเชื่อรวมทั้งอุตสาหกรรมและคิดเป็น 82% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านเครดิตในส่วนนี้ได้ต่อไปโดยใช้เกณฑ์การเรียกหลักประกันเพิ่มและการบังคับขายที่เคร่งครัด รวมทั้งยังคงนโยบายการกำหนดเกณฑ์ของหลักประกันและการให้วงเงินที่เข้มงวดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีและเทียบเคียงได้กับคู่แข่ง ในปี 2555 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อนหน้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับไม่สูง โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิลดลงจาก 63% ในปี 2554 เป็น 57% ในปี 2555 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ 61% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนด บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) (TNS) อันดับเครดิตองค์กร: A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ