‘ทีวี ไดเร็ค’ เสริมสินค้ามาร์จิ้นสูง สบช่องตลาดโฮมช้อปปิ้งพุ่งแตะหมื่นล้าน รับอานิสงส์ค่าบาทแข็ง ค่าใช้จ่ายลด ดันอัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิทะยานเท่าตัว

ข่าวทั่วไป Thursday April 18, 2013 16:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ TVD ย้ำชัดปีนี้รุกหนักธุรกิจโฮมช้อปปิ้งในประเทศ หลังมูลค่าการตลาดพุ่งแตะระดับ 8,000-10,000 ล้านบาท เหตุเชื่อผู้บริโภคหันมาสนใจและสั่งซื้อสินค้าเพิ่ม เนื่องจากชื่อเสียงทีวีไดเร็ค เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างมาก มั่นใจยอดขายทั้งปีเติบโต 20% ขณะที่อัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ทะยานกว่าเท่าตัว จากการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง พร้อมรับอานิสงส์ค่าเงินบาทแข็ง และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในปีก่อน นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย (Multichannel Marketing) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทย เนื่องจากขณะนี้มีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศได้ร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยเข้ามาดำเนินธุรกิจโฮมช้อปปิ้งมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดมีความคึกคักอย่างมาก โดยคาดว่า ในปีนี้จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 ที่มีมูลค่าการตลาด 5,000 ล้านบาท สำหรับการเติบโตอย่างมากของมูลค่าตลาดนั้น เชื่อว่า จะส่งผลให้ยอดขายของบริษัทฯ ได้รับผลดีตามไปด้วย เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันชื่อเสียงของทีวีไดเร็ค ก็เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่า ยอดขายในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ระดับ 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,222 ล้านบาท “แม้บริษัทฯ เป็นรายแรกที่ทำธุรกิจนี้ แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยมีการเตรียมตัวมานานแล้ว เนื่องจากเชื่อว่า ตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยยังเติบโตได้อีกมาก เพราะมูลค่าตลาดยังต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีช่องทางการตลาดครบวงจร อาทิ สื่อโทรทัศน์ ที่มีทั้งฟรีทีวี เคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เคเบิลท้องถิ่น ทีวีดาวเทียม โทรศัพท์ ออนไลน์ และร้านค้าปลีก นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าเพิ่มร้านค้าปลีก TV Showcase อีก 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 70 แห่ง” นายทรงพล กล่าว อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทฯ อยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 14 ปี ทำให้มีข้อมูลของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ดังนั้น ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มอัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิ ( Net Profit Margin ) ให้เติบโตเท่าตัว จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.23% โดยปัจจัยผลักดันมาจากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูง และบริษัทฯ ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสูงถึง 60-65% นอกจากนี้ ในปี 2555 บริษัทฯ มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ทั้งค่าคดีความ ค่าใช้จ่ายในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์เพลิงไหม้คลังสินค้า ซึ่งจะไม่มีรายการเหล่านี้ในปีนี้ “ปีที่แล้วเราสะดุดนิดหน่อยตอนเหตุการณ์เพลิงไหม้ แต่บริษัทฯ ก็ยังทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย และทำให้บริษัทฯ ได้ประสบการณ์และได้บทเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไรในช่วงวิกฤติ ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในปีนี้บริษัทฯ จะสามารถบันทึกรายได้กรณีธุรกิจหยุดชะงักจากบริษัทประกัน ประกอบกับปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การขายและค่าใช้จ่ายที่ลดลง รวมถึงการจัดส่วนผสมของสินค้าใหม่ โดยไปเน้นที่สินค้าที่มี มาร์จิ้นมากเป็นหลัก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น” นายทรงพล กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ