กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
“ทีวีไดเร็ค” โชว์ตัวเลขผลการดำเนินงานรวม ไตรมาส 1/2556 กวาดกำไร 18.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 426.42 % จาก ไตรมาส 1/2555 เหตุต้นทุนลดลง ประกอบกับธุรกิจโฮมชอปปิ้งปีนี้ขยายตัวสูงมาก คาดมูลค่าการตลาดแตะระดับหมื่นล้าน มั่นใจปีนี้ยอดขายเติบโต 20% เผยแนวโน้มธุรกิจสดใส ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องระดมเงินทุนกว่า 500 ล้านบาท เพื่อรองรับให้เพียงพอกับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ลั่นเดินหน้าสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้น
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย (Multichannel Marketing) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานรวมไตรมาส 1/2556 ของ บริษัทฯ ว่า มีกำไรสุทธิ จำนวน 18.32 ล้านบาท เติบโต 426.42% จากไตรมาส 1/2555 ที่มีกำไรสุทธิ 3.48 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนของบริษัทฯ ลดลง ขณะเดียวกันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจโฮมชอปปิ้งขยายตัวสูงมาก โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 1/2556 อยู่ที่ 570.99 ล้านบาท
“ขณะนี้ธุรกิจของบริษัทฯ กำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,222 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีความมั่นใจว่า จะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากภาพรวมตลาดโฮมชอปปิ้งมีความคึกคักอย่างมาก เพราะมีผู้ประกอบการต่างประเทศที่ลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการไทยเข้ามารุกตลาดมากขึ้น ซึ่งมีการประเมินว่า มูลค่าการตลาดในปีนี้จะอยู่ระดับ 8,000-10,000 ล้านบาท” นายทรงพลกล่าว
ขณะเดียวกัน จากทิศทางธุรกิจโฮมชอปปิ้งที่มีการขยายตัวสูงมากในอนาคต บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องระดมเงินทุนให้เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศหลายราย เพื่อเพิ่ม ช่องทางการจำหน่ายและเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมกับ Fuji TV และผู้ประกอบการทีวี ชอปปิ้ง จากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี เพื่อร่วมกันผลิตรายการ เอเชีย ช้อปปิ้ง คิงส์ (Asia Shopping King) ทั้งนี้ นอกจากจะได้แลกเปลี่ยนโนว์ฮาวระหว่างกันแล้วยังจะสามารถต่อยอดรายได้ให้กับบริษัทฯ ในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 376 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่า 188 ล้านบาท เป็น 493.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่า 246.75 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 117.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในจำนวนนี้จะเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 94 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 4.50 บาท
สำหรับหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 23.5 ล้านหุ้น จะรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญฯ (วอแรนท์) ที่บริษัทฯ จะจัดสรรให้ผู้ที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยได้รับวอแรนท์ในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 วอแรนท์ โดยวอแรนท์ดังกล่าว มีอายุ 3 ปี สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญปีละ 2 ครั้ง ในอัตราส่วน 1 วอแรนท์ ต่อ 1 หุ้นสามัญ ที่ราคาหุ้นละ 3.50 บาท
“จากหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม 94 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4.50 บาท หากจำหน่ายได้ทั้งหมด บริษัทฯ จะได้รับเงิน 423 ล้านบาท และจะได้รับเงินจากการแปลงสภาพวอแรนท์ในอนาคตอีก ซึ่งหากใช้สิทธิทั้งหมด ก็จะได้เงินอีก 82.25 ล้านบาท เท่ากับว่าบริษัทฯ จะได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้รวม 505.25 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปลงทุนขยายกิจการได้อีกมาก อันจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายทรงพลกล่าว
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มทุนดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งได้กำหนดจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ณ ห้องแพลตตินั่ม ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ และได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่5 มิถุนายน 2556 และกำหนดวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน ในระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน และ 2-5 กรกฎาคม 2556