JMT ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจาก “ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง” มูลค่ากว่า 3.12 พันลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday June 13, 2013 13:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 มิ.ย.--IR PLUS JMT พอร์ตโต หลังล่าสุดลุยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจาก “ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง” มูลค่ากว่า 3.12 พันลบ. ระบุช่วยหนุนผลงาน Q2/56 เติบโตต่อเนื่องและเป็นไปตามเป้าหมายแบบหายห่วง ด้านหัวเรือใหญ่ “ปิยะ พงษ์อัชฌา” ย้ำภาพรวมตลาดสินเชื่อปี 56 ยังโตได้อีก พร้อมมั่นใจไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง การันตีกำไรสุทธิเติบโต 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ชัวร์ นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2556บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กับบริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด โดยสัญญามีมูลค่าหนี้คงค้างตามสิทธิ เท่ากับ 3,126 ล้านบาท และอัตราผลตอบแทนจากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในครั้งนี้หลังหักค่าใช้จ่ายถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อเทียบกับการซื้อหนี้ในครั้งที่ผ่านมา “การซื้อหนี้ในครั้งนี้ถือได้ว่าน่าพอใจอย่างมาก เพราะซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง เล็งเห็นถึงศักยภาพ และความพร้อมของ JMT จึงได้ขายหนี้ด้อยคุณภาพให้กับบริษัทฯ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท เพื่อไปมุ่งเน้นธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเป็นสำคัญ ส่วนเป้าหมายพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารประเภทสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทฯ ในปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จากก่อนหน้านี้ ที่บริษัทฯ มีหนี้ประเภทลีสซิ่ง ที่ไม่ได้นำมาขายหรือประมูลมากนัก” นายปิยะ กล่าว ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น พอร์ตหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 85% ขณะที่พอร์ตหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 15% แต่คาดว่าในปีนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น 25% เนื่องจาก JMT เริ่มเป็นที่รู้จักในธุรกิจลีสซิ่งมากขึ้นหลังจากบริษัทฯ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีประสบการณ์ ความชำนาญในธุรกิจนี้มายาวนาน รวมทั้งมีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรและเงินลงทุน จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจ พร้อมทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้พอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพของบริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2556 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารในครั้งนี้ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนรวมทั้งภาพรวมตลาดสินเชื่อที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากนโยบายรถคันแรกและการปล่อยสินเชื่อของภาคเอกชนทั้ง Bank และ Non Bank ที่มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ทำให้หนี้เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของบริษัทฯ ให้เข้าไปประมูลซื้อหนี้เพิ่มอย่างต่อเนื่องได้ โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารเพิ่มอีกจำนวน 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังคาดว่าผลงานทั้งปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยกำไรสุทธิเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.83ล้านบาท “การซื้อหนี้จาก ซัมมิท แคปปิตอบ ลีสซิ่งในครั้งนี้ สนับสนุนให้เป้าหมายการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในไตรมาส 2/2556 เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มแล้วมูลค่าราว 2 พันล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มอีกไตรมาสละ 3 พันล้านบาท” นายปิยะ กล่าว นายปิยะกล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังเดินหน้าเข้าซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอีก เนื่องจากเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ และมีมาร์จิ้นสูง ฉะนั้นยิ่งซื้อหนี้มาบริหารมากเท่าไหร่ ยิ่งจะทำให้ JMT มั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่าจะอยู่ในเศรษฐกิจที่ดีหรือไม่ บริษัทฯ ก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี สามารถทยอยรับรู้รายได้จากพอร์ตการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่องและเมื่อตัดต้นทุนหมด JMT จะรับรู้รายได้ทั้ง 100% ดังนั้นขอให้ผู้ถือหุ้นของ JMT สบายใจได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ