หอการค้าฯ จับมือมหาดไทย เปิดโอกาสทองการค้าสะพานเศรษฐกิจเชียงของ

ข่าวทั่วไป Tuesday August 20, 2013 17:25 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--หอการค้าไทย นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัด ก็ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของภาคเอกชนขึ้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของภาครัฐ ดังนั้น จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ด่านชายแดนอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย—ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จและมีกำหนดเปิดใช้ประมาณปลายปี 2556 มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เนื่องจากสะพานดังกล่าวจะเชื่อมโยงการคมนาคมในกลุ่มประเทศอนุภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-Region : GMS) ถือเป็นความร่วมมือสำคัญในการเชื่อมโยงและพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (North — South Economic Corridor : NSEC) ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์และก่อเกิดรายได้มหาศาลกับประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคเหนือและกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้น ทาง R3A หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และจังหวัดเชียงราย จัดการสัมมนา “สะพานเศรษฐกิจเชียงของ : โอกาสทองการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว” ขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ เชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างโอกาสในการแข่งขันด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมและแสวงหาช่องทางในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาของพื้นที่เศรษฐกิจเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้บริหารจังหวัดภาคเหนือ หน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กระบวนการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศของรัฐบาล โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าวจำนวน 400 คน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ