SET9: ตลาดหลักทรัพย์แถลงมติคณะกรรมการฯ

ข่าวทั่วไป Friday December 27, 1996 11:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--27 ธ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2539 โดยที่ประชุมได้มีมติให้รับหลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้ 1. หุ้นสามัญของบริษัทแอล พี เอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) จำนวน 292.9 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท รวม 3,714 ล้านบาท โดยคณะกรรมการฯ ได้กำหนดเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ ดังนี้ - กำหนดจำนวนการห้ามขายหุ้นของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนรวมกันเท่ากับร้อยละ 55 ของทุนชำระแล้ว (3,714 ล้านบาท) จนกว่าบริษัทจะมีการลงทุนครบ ตามต้นทุนโครงการ และมีรายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักครบ 1 ปี - เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต + กำหนดให้ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารหลักของบริษัท ได้แก่ นายบรรเจิด ปรีดาวิภาต และ นายพิพัฒน์ ปรีดาวิภาต รับรองต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่าจะไม่ประกอบ ธุรกิจผลิต นำเข้า และจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนและ รีดเย็นที่เป็นการแข่งขันกับธุรกิจของบริษัทอีกภายใต้ การดำเนินงานของบริษัทอื่น นอกจากบริษัท แอล พี เอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) เท่านั้น + กำหนดให้บริษัทรับรองต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่ารายการธุรกรรมระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือกรรมการ หรือผู้บริหาร ของบริษัท จะเป็นไปตามราคาตลาด ซึ่งสามารถ เปรียบเทียบได้กับรายการที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกและ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียผลประโยชน์ โดยให้กรรมการ อิสระของบริษัทเป็นผู้ดูแลรายการดังกล่าว พร้อมทั้ง ให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบรายการดังกล่าวและรายงานใน งบการเงินประจำปี - กำหนดให้บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมและของ โครงการ และเปิดเผยเพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทราบอย่างชัดเจน โดย ให้นำเสนอแยกเป็นส่วนพิเศษเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนของบริษัท ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ + ความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและ อัตราแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งให้จัดทำ Sensitivity Analysis สำหรับกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น และ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐเปลี่ยนแปลง ลดลงจากข้อสมมติฐานในประมาณการ + ความเสี่ยงเกี่ยวกับความล่าช้าของโครงการ - กำหนดให้บริษัทและที่ปรึกษาทางการเงินปรับปรุงรายงานการศึกษา ความเป็นไปได้ของโครงการ พร้อมทั้งคำนวณอัตราผลตอบแทน ของโครงการ โดยให้สะท้อนถึงเหตุการณ์และผลการดำเนินงาน ล่าสุดที่เกิดขึ้นจริง เพื่อเปิดเผยให้ผู้ลงทุนได้ทราบในหนังสือชี้ชวน -กำหนดให้บริษัทรายงานความคืบหน้าของโครงการ และการใช้ เงินลงทุนทุกไตรมาสภายใน 45 วัน นับจากวันสิ้นไตรมาส พร้อม กับการนำส่งงบการเงินรายไตรมาสของบริษัทจนกว่าโครงการจะ สามารถเริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์ -กำหนดให้บริษัทจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA Report) ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หากในช่วงที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชน บริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติ EIA Report ให้บริษัทเปิดเผยในใบจองซื้อหุ้นว่า "ขณะนี้บริษัท ยังไม่ได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Report) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จด ทะเบียนเมื่อบริษัทได้รับอนุมัติ EIA Report แล้ว และบริษัท ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งระบุ ไว้ในหนังสือ ชี้ชวน (ระบุหน้า)" - ให้บริษัทดำเนินการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ตลาดหลักทรัพย์แจ้งผลการพิจารณาให้บริษัท ทราบ ทั้งนี้หากในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ใดที่เป็นผลกระทบ อย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาลักษณะ ของหลักทรัพย์และคุณสมบัติของบริษัทในการเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์เสมือนหนึ่งบริษัทที่ยื่นคำขอใหม่ - ให้บริษัทดำเนินการแก้ไขความในข้อบังคับของบริษัทข้อ 6 เรื่อง ข้อจำกัดการโอนหุ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสอดคล้องกับ แนวทางปฏิบัติของนายทะเบียนหุ้น โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่หลักทรัพย์ของบริษัทเริ่มทำการซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์ 2. หุ้นสามัญของบริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) จำนวน 450 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท รวม 5,300 ล้านบาท โดยคณะกรรมการฯ ได้กำหนดเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ ดังนี้ - กำหนดจำนวนการห้ามขายหุ้นของนายประยุทธ มหากิจศิริ ทั้งจำนวน และของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นจำนวนรวมกันเท่ากับ ร้อยละ 55 ของทุนชำระแล้ว (5,300 ล้านบาท) เป็นระยะ เวลาจนกว่าบริษัทจะมีการลงทุนครบตามต้นทุนโครงการ และมี รายได้เชิงพาณิชย์จากการประกอบธุรกิจหลักครบ 3 ปี - กำหนดให้นายประยุทธ มหากิจศิริ ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้ จัดการในบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) เพียง แห่งเดียว ตลอดระยะเวลาที่บริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ -กำหนดให้บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมและของ โครงการ และเปิดเผยเพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทราบอย่างชัดเจน โดย นำเสนอแยกเป็นส่วนพิเศษเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนของบริษัทใน ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ +ความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและ อัตราแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งให้จัดทำ Sensitivity Analysis สำหรับกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น และ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐเปลี่ยนแปลง ลดลงจากข้อสมมติฐานในประมาณการ + ความเสี่ยงเกี่ยวกับความล่าช้าของโครงการ -กำหนดให้บริษัทรายงานความคืบหน้าของโครงการ และการใช้ เงินลงทุนไตรมาสภายใน 45 วันนับจากวันสิ้นไตรมาส พร้อม กับการนำส่งงบการเงินรายไตรมาสของบริษัทจนกว่าโครงการจะ สามารถเริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์ -กำหนดให้บริษัทจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA Report) ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หากในช่วงที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชน บริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติ EIA Report ให้บริษัทเปิดเผยในใบจองซื้อหุ้นว่า "ขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Report) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จด ทะเบียนเมื่อบริษัทได้รับอนุมัติ EIA Report แล้ว และบริษัทได้ ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งระบุไว้ในหนังสือ ชี้ชวน (ระบุหน้า)" - ให้บริษัทดำเนินการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ตลาดหลักทรัพย์แจ้งผลการพิจารณาให้บริษัท ทราบ ทั้งนี้หากในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ใดที่เป็นผลกระทบ อย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาลักษณะ ของหลักทรัพย์และคุณสมบัติของบริษัทในการเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์เสมือนหนึ่งบริษัทที่ยื่นคำขอใหม่ 3. หุ้นสามัญของบริษัทอุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย จำกัด (มหาชน)จำนวน 422 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 218 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ10 บาท รวม 6,400 ล้านบาท โดยคณะกรรมการฯ ได้กำหนดเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ดังนี้ - กำหนดจำนวนการห้ามขายหุ้นของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็น จำนวนรวมกันเท่ากับร้อยละ 55 ของทุนชำระแล้ว (6,400 ล้านบาท) จนกว่าบริษัทจะมีการลงทุนครบตามต้นทุนโครงการและ มีรายได้เชิงพาณิชย์จากโครงการถลุงเหล็กและหลอมเหล็กกล้า ครบ 1 ปี -เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เห็นควรกำหนดให้บริษัทรับรองต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่ารายการธุรกรรมระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือผู้ถือหุ้น รายใหญ่ หรือกรรมการ หรือผู้บริหารของบริษัท จะเป็นไปตาม ราคาตลาด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับรายการที่เกิดขึ้นกับ บุคคลภายนอกและไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเสียผลประโยชน์ โดย ให้กรรมการอิสระของบริษัทเป็นผู้ดูแลรายการดังกล่าว พร้อมทั้ง ให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบรายการดังกล่าวและรายงานในงบการเงิน ประจำปี -กำหนดให้บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมและของ โครงการ และเปิดเผยเพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทราบอย่างชัดเจน โดย ให้นำเสนอแยกเป็นส่วนพิเศษเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนของบริษัทใน ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ +ความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและ อัตราแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งให้จัดทำ Sensitivity Analysis สำหรับกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น และ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐเปลี่ยนแปลง ลดลงจากข้อสมมติฐานในประมาณการ +ความเสี่ยงเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของท่าเรือที่ใช้ใน การขนถ่ายวัตถุดิบและจัดส่งสินค้าของบริษัท - ให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนให้ชัดเจนในหนังสือชี้ชวนใน ประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ + รายการชำระค่าที่ดินที่มีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้อง กับความเป็นจริง พร้อมทั้งให้จัดทำ Sensitivity Analysis ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ดินที่เปลี่ยนแปลง ไป +ความคืบหน้าเกี่ยวกับการกู้เงินจาก KfW ว่าได้ดำเนิน การถึงขั้นใด และมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง -กำหนดให้บริษัทรายงานความคืบหน้าของโครงการ และการใช้ เงินลงทุนทุกไตรมาสภายใน 45 วัน นับจากวันสิ้นไตรมาส พร้อม กับการนำส่งงบการเงินรายไตรมาสของบริษัทจนกว่าโครงการ ถลุงเหล็กและหลอมเหล็กกล้าจะสามารถเริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์ -กำหนดให้บริษัทจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA Report) ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หากในช่วงที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชน บริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติ EIA Report ให้บริษัทเปิดเผยในใบจองซื้อหุ้นว่า "ขณะนี้ บริษัทยังไม่ได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA Report) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติรับหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จด ทะเบียนเมื่อบริษัทได้รับอนุมัติ EIA Report แล้ว และบริษัทได้ ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งระบุไว้ในหนังสือ ชี้ชวน (ระบุหน้า)" - ให้บริษัทดำเนินการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ตลาดหลักทรัพย์แจ้งผลการพิจารณาให้บริษัท ทราบ ทั้งนี้หากในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ใดที่เป็นผลกระทบ อย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาลักษณะ ของหลักทรัพย์และคุณสมบัติของบริษัทในการเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์เสมือนหนึ่งบริษัทที่ยื่นคำขอใหม่--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ