กรุงเทพฯ--30 ก.ย.--เอ็มทีเอส โกลด์
ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,325เหรียญ/ออนซ์และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ1,339 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 31.26บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 19,550 บาท กับ 19,650บาท และกลับมาปิดที่ 19,550บาท กับ 19,650 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาทอยู่ที่ 835 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 3,923 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท ลดลง 0.3% แบบ 10 บาท เพิ่มขึ้น 0.8 % GFV13 ปิด 19,930 บาท และGFZ13 ปิด 20,010 บาท GF10V13 ปิด 19,920 บาท GF10Z13 ปิด 20,000 บาท
สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 15.1 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,339.2 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 6.5 เซ็นต์ ปิดที่ระดับ 21.831 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 905.99 ตัน (ขายออก 3.6ตัน) น้ำมัน NYMEX ปิดลดลง 16 เซ็นต์ ปิดที่ระดับ 102.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ปิดลดลง 70.06 จุด ปิดที่ 15,258.24 จุด
ข่าวที่สำคัญ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วงต้นตลาด COMEX จากการทำ Short Covering และประเด็นงบประมาณและเพดานหนี้สหรัฐเข้ามาอยู่ในความสนใจของตลาด และตลอดสัปดาห์ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น 0.5%
ข้อมูลจาก CFTC เก็บข้อมูลจนถึงวันที่ 24 กันยายน ระบุว่า นักลงทุนเพิ่มการเก็งกำไรทองคำในสถานะ Long Position 12% สู่ระดับ 78,654 คู่สัญญา ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม
ในผลสำรวจทิศทางทองคำจากทั้ง Kitco และ Bloomberg ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์นี้
Goldman Sachs, Citigroup Inc. และ Morgan Stanley ระบุว่า ราคาทองคำอาจกลับมาปรับตัวลดลงไปจนถึงปีหน้าหากเศรษฐกิจสหรัฐมีการฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ Barclays ระบุว่า การตัดสินใจลด QE ของเฟดเป็นเพียงการยืดเวลา และราคาทองคำอาจมีค่าเฉลี่ยที่ระดับ 1,270 เหรียญในไตรมาส 4 ปีหน้า
World Gold Council ระบุว่า ปริมาณความต้องการทองคำของจีนกำลังเข้าใกล้สู่ระดับ 1,000 ตัน
ตลอดสัปดาห์นี้ ตลาดจีนจะปิดทำการเนื่องในวันชาติจีน แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงเปิดทำการ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายคาดว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวลดลงเนื่องจากขาดแรงเข้าซื้อจากจีน
สำนักข่าว Business Standard ของอินเดียระบุว่า หลังจากผ่านช่วงความสับสนของกฎเกณฑ์ต่างๆ ไปหลายเดือน ผู้ค้าของอินเดียอาจกลับมากระตุ้นการนำเข้าทองคำในเดือนหน้า เนื่องจากรัฐบาลจะทำการเคลียร์ Shipment ต่างๆ ที่ติดค้างอยู่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นพรรครีพับลิกัน ลงมติผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวด้วยคะแนน 231 ต่อ 192 พร้อมเงื่อนไขให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายประกันสุขภาพของโอบาออกไปอีก 1 ปี และยกเลิกการเก็บภาษีอุปกรณ์ทางการแพทย์ การลงมติครั้งนี้ทำให้มีความเสี่ยงที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐจะปิดทำการตั้งแต่วันอังคารที่ 1 ตุลาคมเพิ่มสูงขึ้น เพราะจะต้องส่งร่างกกลับไปที่วุฒิสภาอีกครั้ง แต่วุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก ออกมาประกาศกร้าวแล้วว่าจะไม่ยอมรับร่างงบประมาณฉบับแก้ไขของสภาผู้แทนราษฎร และจะประชุมกันช่วงบ่ายวันจันทร์ ซึ่งฉิวเฉียดมาก เนื่องจากเป็นวันที่ปีงบประมาณปัจจุบันสิ้นสุดลง และหากต้องปิดทำการจริงจะทำให้พนักงานของรัฐ 1 ใน 3 จากทั้งสิ้น 2,100,000 คนต้องถูกพักงาน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายโอบามาได้คุยหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีอิหร่าน และพบว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1979 ที่ผู้นำทั้งสองชาติมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดในตะวันออกกลางลง
นายชาร์ลส อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก ระบุว่า การที่เฟดไม่ลด QE ในเดือนนี้สร้างความแปลกใจให้กับนักลงทุน โดยระดับการเข้าซื้อพันธบัตรอาจยังคงที่ที่ระดับ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนไปจนถึงเดือนมกราคม เนื่องจากกลุ่มผู้กำหนดนโยบายยังคงรอสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 0.46% เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าวิกฤตการณ์ด้านการคลังของสหรัฐ อาจจะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องปิดการดำเนินงานลง
เช้านี้นิกเกอิเปิดร่วงลง 1.55% หลังจากทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมหดตัวลง 0.7% เป็นครั้งแรกในรอบสองเดือน
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตบวก0.20% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นจีน หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง เช้านี้ตัวเลข HSBC Final Manufacturing PMI ของจีนออกมาแย่ลงจาก 51.2 มาอยู่ที่ 50.2
ตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อคืนวันศุกร์
- Core PCE Price Index m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 0.1% ตัวเลขจริงปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ0.2%
- Personal Spending m/m ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 0.2% ตัวเลขจริงปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.3%
- Revised UoM Consumer Sentiment ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 76.8 ตัวเลขจริงปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 77.5
ตัวเลขที่สำคัญที่ต้องติดตามวันนี้
- Chicago PMI ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 53.0 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.5
ทิศทางราคาทองคำ
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวันศุกร์จากความกังวลเรื่อง Debt Ceiling หรือประเด็นเพดานหนี้ที่ยังไม่สิ้นสุด โดยที่เคลื่อนตัวจากระดับ 1,325 เหรียญ มาปิดที่ระดับ 1,336 เหรียญโดยประมาณ SPDR ยังคงขายต่อเนื่องอีก 3.6 ตัน คงเหลือการถือครองทองคำที่ระดับ 905.99 ตัน ในขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจในคืนวันศุกร์ออกมา ได้แก่ Core PCE Price Index ออกมาเพิ่มขึ้น 0.1% เช่นเดียวกับ Personal Spending ในขณะที่ Revised UoM Consumer Sentiment ออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยวันนี้จะมีตัวเลข Chicago PMI คาดว่าดีขึ้น ค่าเงินดอลลาร์ดูจะกลับมาแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนตัวลงในเช้าวันนี้ มายืนอยู่ที่ระดับ 31.45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค — ราคาทองคำยังคงเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ Sideways ระหว่าง 1,310 — 1,345 เหรียญ โดยมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,350 เหรียญ ยังวิเคราะห์ได้ว่าภาพรวมของราคาทองคำยังเป็น Sideways รอความชัดเจนของ Debt Ceiling ในคืนนี้กับภาพรวมของตัวเลขเศรษฐกิจที่กำลังจะออกมา
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ — ยังแนะนำให้นักลงทุนในลักษณะ Sideways ในกรอบ 1,310 — 1,350 เหรียญ ยังคงแนะนำให้เปิด Short Position เมื่อราคาขึ้นสูงกว่า 1,345 เหรียญขึ้นไป รักษาพอร์ตให้สมดุล
นักลงทุนที่ถือ Long Position
หาจังหวะในการปิดขายทำกำไร
นักลงทุนที่ถือ Short Position
ยังไม่แนะนำให้ Short เพิ่ม รอดูความชัดเจนของทิศทางตลาดก่อน
Gold Futures V13 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,840 บาท และแนวต้านที่ระดับ 20,040 บาท
Gold Futures Z13 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,930 บาท และแนวต้านที่ระดับ 20,130 บาท
บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง