Bangkok--11 Feb--แมนูไลฟ์
-ตราสารหนี้ยังเป็นที่นิยม แต่ไม่ได้อยู่ในพอร์ตการลงทุน
- ความเชื่อมั่นในการลงทุนในหุ้นสูงขึ้น โดยมีแรงหนุนจากญี่ปุ่น
- การถือเงินครองเงินสดมากเกินไป ไม่ได้จัดเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสมอไป
- การกระจายการลงทุนในต่างประเทศเป็นทางเลือกที่นักลงทุนไทยให้ความสำคัญมากขึ้น
ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียของ แมนูไลฟ์ บ่งชี้ถึงความมั่นใจที่ปรับสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 อันเป็นผลสืบเนื่องจากทัศนคติที่ดีขึ้นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนความเชื่อมั่นโดยรวมที่ดีขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนของ แมนูไลฟ์ สำหรับช่วงเวลา 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 16 จุด ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1 จุด จากระดับ 15 ในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว โดยดัชนีดังกล่าวเป็นข้อสรุปจากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งประกอบด้วย ประเทศจีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน สำหรับการสำรวจครั้งล่าสุดนี้ ได้เพิ่มประเทศฟิลิปปินส์เข้าไปเป็นครั้งแรก ซึ่งหากรวมผลสำรวจจากนักลงทุนชาวฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นโดยรวมพุ่งสูงขึ้นเป็น 22 หรือเป็นระดับเดียวกันกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาในไตรมาส 4
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทัศนคติของนักลงทุนชาวญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นมากเป็นพิเศษถึง 9 จุด มาอยู่ที่ระดับ 18 ส่วนประเทศอื่นที่มีทัศนคติที่ดีขึ้นในภูมิภาค ประกอบด้วย ประเทศอินโดนิเซีย (เพิ่มขึ้น 3 จุด เป็น 41) และฮ่องกง (เพิ่มขึ้น 1 จุด เป็น -13) ถึงแม้ว่าฮ่องกงจะปรับขึ้นเล็กน้อย แต่นักลงทุนที่นั่นยังคงมีทัศนคติในเชิงลบสูงที่สุด ตามด้วยนักลงทุนในประเทศไต้หวัน สำหรับประเทศฟิลิปปินส์นั้น นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงสุดในภูมิภาคนี้ โดยวัดค่าดัชนีได้ที่ระดับ 66
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ นั้น ผลสำรวจครั้งล่าสุดนี้บ่งบอกว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ ยกเว้นในกรณีของตราสารทุน ซึ่งปรับดีขึ้นพอสมควรจากระดับฐานเดิมที่ค่อนข้างต่ำ (เพิ่ม 3 จุด เป็น 9 จุด) ในขณะเดียวกัน เงินสดและอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นสินทรัพย์สองประเภทที่นักลงทุนชื่นชอบมากที่สุด
ถึงแม้จะมีการคาดคะเนต่างๆ นานา เกี่ยวกับผลกระทบต่อพันธบัตรจากการปรับลดวงเงิน QE ของธนาคารกลางสหรัฐ แต่ทัศนคติของนักลงทุนต่อตราสารหนี้ (20) ยังคงสูงกว่าตราสารทุนเป็นอย่างมาก แต่หากเปรียบเทียบกับการลงทุนจริงๆ อันดับของตราสารหนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่สุด หรือเป็นเพียง 5% ของพอร์ตการลงทุนเท่านั้น
“เราเชื่อว่านักลงทุนจะโยกเงินออกจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ อย่างเช่น เงินสด เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ในปี 2557”, Mr. Endre Pedersen กรรมการผู้จัดการฝ่ายตราสารหนี้ของ แมนูไลฟ์ กล่าว “เราเชื่อว่าในอนาคตระยะปานกลางจากนี้ การลงทุนในตราสารหนี้จะสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากเราเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน เพราะเราเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าตราสารหนี้ภาครัฐบาลในภาวะตลาดปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตราสารทุนในประเทศญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นถึงระดับ 36 จากระดับ 21 ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุหลักสืบเนื่องจากตลาดหุ้นโตเกียวที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 57% ในรอบปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีของญี่ปุ่นยังคงตามหลังดัชนีในสหรัฐอเมริกา (เพิ่ม 7 จุด มาอยู่ที่ระดับ 52) ซึ่งดัชนี Down Jones ปรับเพิ่มขึ้น 26.5% ในปีที่ผ่านมา
การปรับเพิ่มอย่างมากของตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นผลมาจากผลประกอบการของธุรกิจดีขึ้น ภายใต้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า “Abenomics” ซึ่งกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยอัตราเงินเฟ้อยังปรับสูงขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม การปรับสูงขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ไม่ได้สะท้อนในการถือครองหุ้นของนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ซึ่งกลับลดลงไป 3 จุด มาอยู่ที่ 16% ของเงินลงทุนทั้งหมด
ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยและแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น กอปรกับค่าเงินในภูมิภาคที่อ่อนค่าลง การถือครองเงินสดดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การถือครองเงินสดยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนในภูมิภาคชื่นชอบมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย อินโดนิเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งดัชนีสินทรัพย์ประเภทเงินสดอยู่ที่ระดับค่อนข้างสูง ระหว่าง 70 ถึง 80 ในทางตรงกันข้าม ทัศนคติต่อสินทรัพย์ประเภทเงินสดในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นติดลบเป็นอย่างมาก (-54)
นักลงทุนชาวเอเชียโดยรวมเก็บออมเงินสดในอัตราที่สูงมาก หรือประมาณ 41% ของสินทรัพย์รวม (ไม่รวมบ้านพักอาศัย) “นักลงทุนบอกเราว่า สาเหตุหลักที่ถือครองเงินสดเอาไว้มาก เนื่องจากต้องการความปลอดภัยและสภาพคล่อง แต่ผลการสำรวจของเราบ่งบอกว่า ในจำนวนเงินสดที่นักลงทุนถือครองอยู่นั้น คิดเป็นเพียง 1 ใน 5 ของที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันและความจำเป็นฉุกเฉิน ซึ่งหมายความว่า 4 ใน 5 ส่วนที่เหลือถูกวางกองอยู่เฉยๆ” Mr. Robert A. Cook, ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President and CEO) Manulife Financial ประจำภูมิภาคเอเชียกล่าว “ภูมิภาคเอเชียนี้เก็บออมเงินสดได้เป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา แต่การที่ไม่นำเงินออมเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ กลายเป็นการสูญเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าเสียดาย” Mr. Robert กล่าวเพิ่มเติม
ด้านนายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ในภาวะที่หุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองและมีความผันผวนเป็นอย่างมาก เราเชื่อว่านักลงทุนไทยน่าจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการพิจารณาลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดไทยเพียงตลาดเดียว โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียให้โอกาสในการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน โดยเฉพาะในตลาดเอเชียเหนือ ซึ่งประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแถบนั้นจะได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการฟื้นตัวของการค้าโลก ในขณะเดียวกัน ด้านภูมิภาคยุโรปก็เพิ่งหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2556 และเศรษฐกิจใหญ่ๆ ของหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปมีศักยภาพในการขยายตัวได้ในปี 2557 โดยเชื่อว่าความไม่แน่นอนในทวีปยุโรปเริ่มลดน้อยถอยลงและจะกลับกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ หากแรงหนุนสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง”